วันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ถามตอบฎีกา บทบรรณาธิการเนติ ภาค 1 สมัย 65 เล่ม 9

-------------------------------------

                   คำถาม  การได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์นั้น  จะนับระยะเวลาการครอบครองปรปักษ์ระหว่างเป็นที่ดินมือเปล่าก่อนที่ดินออกโฉนด  รวมเข้ากับระยะเวลาการครอบครองปรปักษ์ภายหลังที่ดินที่โจทก์แล้วได้หรือไม่
                คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
                คำพิพากษาฎีกาที่  2270/2554  การได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของผู้อื่นโดยการครอบครองตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1382  จะต้องเป็นการครอบครองที่ดินที่ผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์และครอบครองโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลา  10  ปี  ผู้ร้องจะนับระยะเวลาการครอบครองในระหว่างเป็นที่ดินมือเปล่าก่อนที่ดินพิพาทออกโฉนดรวมเข้ากับระยะเวลาการครอบครองปรปักษ์ภายหลังที่ดินมีโฉนดแล้วหาได้ไม่  ขณะที่มีการออกโฉนดที่ดินในที่ดินพิพาทปี  2529  ผู้ร้องไม่ได้คัดค้านอย่างใด  ต่อมาปี  2533ผู้ร้องเข้าไปตักดินในที่ดินพิพาทผู้คัดค้านห้ามแล้วไม่หยุด  ผู้คัดค้านจึงนำโฉนดที่ดินไปแจ้งความที่สถานีตำรวจว่าผู้ร้องบุกรุก  ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าผู้ร้องเข้าครอบครองที่ดินพิพาทและแสดงออกว่ามีเจตนาเป็นเจ้าของเมื่อปี  2533  เมื่อนับระยะเวลาจนถึงผู้ร้องยื่นคำร้องขอคดีนี้เมื่อวันที่  20  กรกฎาคม  2541  ยังไม่ครบ  10  ปี  ผู้ร้องจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครอง
                คำพิพากษาฎีกาที่  677/2550  การครอบครองปรปักษ์ที่ดินของผู้อื่นจนได้กรรมสิทธิ์ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1382  นั้น  อสังหาริมทรัพย์ที่จะถูกครอบครองปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์จะต้องเป็นของบุคคลอื่น  ซึ่งก็คือบุคคลนั้นจะต้องมีกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์นั่นเอง  หลักฐานที่แสดงว่าผู้ใดเป็นเจ้าของหรือมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์นั้นคือโฉนดที่ดินเพราะเป็นหลักฐานทางทะเบียนของทางราชการ  ดังนั้น  การครอบครองที่ดินของผู้อื่นอันจะเป็นเหตุให้ผู้ครอบครองได้กรรมสิทธิ์นั้นจะต้องเป็นการครอบครองที่ดินของผู้อื่นที่ได้ออกโฉนดแล้วเท่านั้น  ทั้งจะต้องครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปีด้วย  เมื่อทางราชการเพิ่งออกโฉนดที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งห้าเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่  8  พฤษภาคม  2539  เช่นนี้  การนับระยะเวลาการครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทจึงต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่  8  พฤษภาคม  2539  เป็นต้นไปเท่านั้น  ระยะเวลาที่ครอบครองก่อนที่ดินพิพาทออกโฉนดไม่อาจนำมารับรวมกันได้  เมื่อคิดถึงวันที่  6  พฤศจิกายน  2540  ซึ่งเป็นวันที่จำเลยทั้งสองฟ้องแย้งขอให้ศาลพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองจึงยังไม่ถึงสิบปี  จำเลยทั้งสองจึงไม่อาจได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1382

                คำถาม  ผู้สั่งจ่ายเช็คแก้ไขวันเดือนปีในเช็คโดยผู้ทรงยินยอมจะถือว่าเป็นการขยายกำหนดอายุความฟ้องร้องหรือไม่
                คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
                คำพิพากษาฎีกาที่  1385/2554 เช็คเป็นตราสารเปลี่ยนมือได้  ย่อมโอนเปลี่ยนมือกันได้ด้วยการสลักหลังและส่งมอบเช็คในกรณีเช็คระบุชื่อ  หรือด้วยการส่งมอบเช็คในกรณีเช็คผู้ถือ  เช็คพิพาททั้ง  5  ฉบับ  เป็นเช็คสั่งจ่ายเงินสดโดยมิได้ระบุชื่อหรือยี่ห้อผู้รับเงินและมิได้ขีดฆ่าคำว่า  หรือผู้ถือออก  จึงเป็นเช็คผู้ถือ  โจทก์เป็นผู้มีเช็คพิพาทไว้ในครอบครอง  โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมายตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  904  เมื่อการแก้ไขวันเดือนปีในเช็คพิพาทเป็นการแก้ไขโดยจำเลยที่  1  ซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายและลงลายมือชื่อกำกับไว้ด้วยโดยโจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงยินยอม  เช็คพิพาทจึงไม่เสียไปและใช้ได้ต่อจำเลยที่  1  ซึ่งเป็นผู้แก้ไขตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1007  วรรคแรก  โดยถือว่าเช็คพิพาทมีกำหนดเวลาใช้เงินตามที่แก้ไขนั้นหาใช่เป็นเรื่องขยายอายุความฟ้องร้องไม่


                คำถาม  สัญญาจ้างทำของ  มีข้อสัญญาทำนองว่า  เมื่อมีการเลิกสัญญา  ผู้ว่าจ้างไม่ต้องใช้ค่างานแก่ผู้รับจ้าง  ข้อสัญญาดังกล่าวถือเป็นเบี้ยปรับหรือไม่  หรือจะต้องบังคับตามข้อสัญญาดังกล่าว
                คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
                คำพิพากษาฎีกาที่  4330/2554 โดยปกติเมื่อสัญญาเลิกกัน  คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม  ส่วนที่เป็นการงานอันได้กระทำให้  ให้ทำได้ด้วยใช้เงินตามสมควรค่าแห่งการนั้นๆ  ตามที่บัญญัติไว้ใน  ป.พ.พ.  มาตรา  391  วรรคหนึ่งและวรรคสาม  โจทก์ผู้รับจ้างจึงย่อมมีสิทธิได้รับการใช้เงินตามควรค่าแห่งงานที่ได้กระทำให้แก่จำเลยผู้ว่าจ้างไปแล้ว  การที่สัญญาข้อ  9  ดังกล่าวระบุให้บรรดางานที่โจทก์ได้ทำขึ้นตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยโจทก์จะเรียกร้องค่าเสียหายใดๆ  ไม่ได้เพื่อเป็นผลให้จำเลยไม่ต้องใช้ค่างานแก่โจทก์  จึงเป็นข้อตกลงที่มีลักษณะเป็นการกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าอันเป็นเบี้ยปรับ  ซึ่งหากสูงเกินส่วนศาลมีอำนาจลดลงได้ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  383  วรรคหนึ่ง  หาใช่ว่าจะต้องบังคับตามข้อสัญญาโดยเด็ดขาด  เป็นผลให้จำเลยไม่ต้องใช้เงินตามควรค่าแห่งงานแก่โจทก์ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค  9  วินิจฉัยเสมอไปไม่  คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ทำงานตามจำนวนค่าจ้างไปเป็นเงิน  504,000  บาท  จำเลยชำระแล้ว  300,000  บาท  เมื่อคำนึงถึงค่าปรับรายวันที่จำเลยมิได้เรียกร้องประกอบกับความเสียหายอย่างอื่นที่จำเลยได้รับแล้วเห็นสมควรกำหนดให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์อีกเพียง  50,000  บาท  ซึ่งแม้คำพิพากษาศาลชั้นต้นจะใช้ถ้อยคำว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินค่าจ้าง  แต่ก็เห็นได้ว่าเป็นเงินตามควรค่าแห่งงานที่กำหนดให้จำเลยใช้แก่โจทก์เพื่อการกลับคืนสู่ฐานะเดิมและศาลชั้นต้นได้ใช้ดุลพินิจลดจำนวนลงแล้วนั่นเอง  หากจำเลยเห็นว่าตนไม่ต้องรับผิดก็ชอบที่จะอุทธรณ์  แต่จำเลยมิได้อุทธรณ์  เพียงแต่มีคำขอมาในคำแก้อุทธรณ์ให้ยกฟ้องโจทก์เท่านั้น  ซึ่งไม่อาจกระทำได้  ปัญหาว่าจำเลยจะต้องชำระเงินจำนวน  50,000  บาท  แก่โจทก์หรือไม่  จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่มีเหตุที่ศาลอุทธรณ์ภาค  9  จะต้องยกปัญหานี้ขึ้นวินิจฉัยตามคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยอีก


                คำถาม  มูลหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนจะออกจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด  หุ้นส่วนผู้จัดการดังกล่าวจะต้องรับผิดหรือไม่
                คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
                คำพิพากษาฎีกาที่  2778/2552 จำเลยที่  3  เคยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่  1  ระหว่างวันที่  28  ธันวาคม  2543  ถึงวันที่  27  มกราคม  2545  มูลหนี้ที่เกิดขึ้นได้เกิดขึ้นก่อนที่จำเลยที่  3  จะออกจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่  1  ซึ่งจำเลยที่  3  ต้องร่วมรับผิดในหนี้ดังกล่าวภายในกำหนด  2  ปี  นับแต่ออกจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  1068  ประกอบมาตรา  1080  แต่ข้อเท็จจริง  ปรากฏว่าจำเลยที่  3  ออกจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการตั้งแต่วันที่  28  มกราคม  2545ความรับผิดของจำเลยที่  3  ย่อมมีจำกัดเพียงสองปีนับแต่วันดังกล่าวถึงวันที่  28  มกราคม  2547การที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่  3  เป็นคดีนี้เมื่อวันที่  17  มิถุนายน  2548  จึงเกินกำหนดเวลา  2  ปีแล้ว  จำเลยที่  3  จึงไม่ต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  1068  ประกอบมาตรา  1080  โจทก์จึงไม่อาจนำหนี้นี้มาฟ้องจำเลยที่  3  เป็นคดีล้มละลายได้

                คำถาม  ใช้ปืนยิงผู้อื่น  แต่ลูกกระสุนปืนมีกำลังอ่อน  ผู้ถูกยิงจึงไม่ถึงแก่ความตายเป็นความผิดพยายามฆ่าผู้อื่นตาม  ป.อ.  มาตรา  80  หรือ  81
                คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
                คำพิพากษาฎีกาที่  77/2555 ลูกกระสุนปืนที่จำเลยยิงไม่ทะลุผ่านผิวหนังทำอันตรายแก่อวัยวะภายในของผู้เสียหายที่  1  เป็นเพราะมีกำลังอ่อน  มิใช่เพียงแต่ผู้เสียหายที่  1  ถูกยิงในแนวเฉียง  การกระทำของจำเลยย่อมไม่สามารถจะบรรลุผลให้ผู้เสียหายที่  1  ถึงแก่ความตายได้อย่างแน่แท้  จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  288  ประกอบมาตรา  81  วรรคแรก  ซึ่งเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย  ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เอง  ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา  195  วรรคสอง  ประกอบมาตรา  225

                คำถาม  การให้ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมซึ่งมิใช่พนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการช่วยเหลือผู้อื่นโดยให้เปลี่ยนข้อหาให้เบาลง  จะเป็นความผิดตาม  ป.อ.  มาตรา  144  หรือไม่
                คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
                คำพิพากษาฎีกาที่  3096/2552  จำเลยทั้งสองไปติดต่อกับดาบตำรวจ  ช.  เพื่อขอให้ช่วยเหลือ  พ.  กับพวก  โดยเปลี่ยนข้อหาจากเดิมข้อหาร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเป็นข้อหาร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต  โดยเสนอให้เงิน  70,000  บาท  ย่อมเป็นการกระทำที่มุ่งประสงค์ขอให้ทรัพย์สินเพื่อจูงใจให้ดาบตำรวจ  ช.  ไปดำเนินการให้ผู้บังคับบัญชากระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่  เพื่อพันตำรวจตรี  ต.  ผู้บังคับบัญชาของดาบตำรวจ  ช.  ทราบความประสงค์ของจำเลยทั้งสองจากดาบตำรวจ  ช.  และวางแผนจับกุมโดยตอบตกลงและนัดหมายให้นำเงินมอบให้และจับกุมได้พร้อมเงินของกลาง  จึงถือได้ว่าจำเลยทั้งสองได้ขอให้ทรัพย์สินแก่ดาบตำรวจ  ช.  และพันตำรวจตรี  ต.  เพื่อจูงใจให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  144


                คำถาม  ผู้เริ่มก่อการและจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิในนามของบริษัท  บ.  แต่ไม่ได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัท  จะต้องร่วมกันรับผิดในหนี้ที่ตัวแทนของบริษัท  บ.  กระทำไปหรือไม่
                คำตอบ  มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
                คำพิพากษาฎีกาที่  3411/2553 จำเลยที่  8  ซื้อสินค้าจากโจทก์ในฐานะตัวแทนของบริษัท  บ.  เมื่อบริษัท  บ.  ไม่ได้จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นเป็นบริษัท  จำเลยที่  1  ถึงที่  4  ที่  6  และที่  7  ในฐานะผู้เริ่มก่อการจึงต้องรับผิดชำระค่าสินค้าต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  1113
                บริษัท  บ.  ซื้อสินค้าเพื่อใช้ในการก่อสร้างโรงแรม  อันเป็นกิจการของบริษัท  บ.  อายุความสิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงมีกำหนด  5  ปี  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  193/33

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น