แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ คำถาม-ธงคำตอบ เนติบัณฑิต แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ คำถาม-ธงคำตอบ เนติบัณฑิต แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

คำถาม-ธงคำตอบ วิแพ่ง เนติบัณฑิต ภาคสอง สมัยที่ 65

สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา
การสอบข้อเขียนความรู้ชั้นเนติบัณฑิต  ภาคสอง  สมัยที่  65  ปีการศึกษา  2556
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กฎหมายล้มละลาย
ระบบศาลและพระธรรมนูญศาลยุติธรรม 
วันอาทิตย์ที่  31  มีนาคม  2556
------------------------------------



            ข้อ  1. (ก) นายเอกว่าจ้างนายโทให้สร้างถนนและรางระบายน้ำ  เป็นเงิน  800,000  บาท  สัญญาว่าจ้างทำที่ภูมิลำเนาของนายเอกที่จังหวัดลำปาง  ต่อมานายโทได้ทำสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องค่าก่อสร้างตามสัญญาว่าจ้างดังกล่าวให้แก่นายตรี  โดยมีหนังสือแจ้งการโอนสิทธิเรียกร้องให้นายเอกทราบแล้ว  สัญญาโอนสิทธิเรียกร้องทำที่บ้านของนายตรีที่จังหวัดเชียงใหม่  เมื่อนายโทสร้างถนนและรางระบายน้ำแล้วเสร็จ  นายตรีได้มีหนังสือถึงนายเอกขอรับเงินค่าก่อสร้าง  นายเอกปฏิเสธอ้างว่าได้จ่ายเงินค่าก่อสร้างให้แก่นายโทไปแล้ว  นายตรีจึงยื่นคำฟ้องนายเอกต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ให้ชำระหนี้จำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย  ศาลจังหวัดเชียงใหม่มีคำสั่งให้รับคำฟ้อง

             (ข)  นายตรียื่นฟ้องนายจัตวาซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ให้ชำระเงินตามเช็คที่นายจัตวาสั่งจ่าย  จำนวนเงิน  500,000  บาท  ในชั้นตรวจคำฟ้อง  ศาลจังหวัดเชียงใหม่เห็นว่า  คำฟ้องไม่มีลายมือชื่อโจทก์  ลายมือชื่อทนายโจทก์ผู้เรียง  และลายมือชื่อผู้เขียนหรือพิมพ์  จึงไม่รับคำฟ้อง

              ให้วินิจฉัยว่า  ที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่มีคำสั่งให้รับคำฟ้องตาม  (ก)  และไม่รับคำฟ้องตาม  (ข)  ชอบหรือไม่

ธงคำตอบ

(ก)สัญญาว่าจ้างสร้างถนนและรางระบายน้ำระหว่างนายเอกกับนายโททำ  ณ  ภูมิลำเนาของนายเอกที่จังหวัดลำปาง  แม้นายโททำสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องค่าก่อสร้างตามสัญญาว่าจ้างให้แก่นายตรี  แต่นายตรีก็เป็นเพียงผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องของนายโทในอันที่จะบังคับชำระหนี้ตามมูลหนี้เดิมจากนายเอกแทนนายโท  เมื่อสัญญาที่เป็นมูลหนี้ให้เกิดการโอนสิทธิเรียกร้องเกิดขึ้น  ณ  ภูมิลำเนาของนายเอก  และนายเอกปฏิเสธไม่จ่ายเงินค่าก่อสร้างให้แก่นายตรี  จึงถือว่ามูลเหตุซึ่งเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้นายตรีมีอำนาจฟ้องนายเอกเกิดขึ้น  ณ  ภูมิลำเนาของนายเอกซึ่งอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดลำปาง  นายตรีจึงไม่มีอำนาจฟ้องนายเอกต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่  ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  4  (1)(คำพิพากษาฎีกาที่  9430/2554)  ที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่มีคำสั่งให้รับคำฟ้องจึงไม่ชอบ

(ข) คำฟ้องคดีแพ่งไม่มีลายมือชื่อโจทก์  ไม่มีลายมือชื่อทนายโจทก์ผู้เรียง  และไม่มีลายมือชื่อผู้เขียนหรือพิมพ์  เป็นเพียงคำฟ้องที่ไม่บริบูรณ์  ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  67 (5) ศาลจังหวัดเชียงใหม่ชอบที่จะสั่งให้นายตรีแก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าวเสียก่อนโดยให้คืนหรือให้แก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องให้บริบูรณ์ภายในเวลาที่กำหนด  หากไม่ปฏิบัติตามจึงจะมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องนั้นได้  ตามมาตรา  18  วรรคสอง  การที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ไม่รับคำฟ้องของนายตรีโดยไม่สั่งให้แก้ไขข้อบกพร่องในเรื่องดังกล่าวเสียก่อนจึงไม่ชอบ  (คำพิพากษาฎีกาที่  5556/2543)




            ข้อ  2. โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คที่จำเลยเป็นผู้สั่งจ่าย  จำนวนเงิน  3,000,000  บาท  พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์  จำเลยให้การว่า  เช็คพิพาทออกให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้พนัน  มูลหนี้ตามเช็คเป็นโมฆะ  ขอให้ยกฟ้อง  ระหว่างพิจารณาโจทก์และจำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน  โดยจำเลยยอมชำระหนี้แก่โจทก์จำนวน  2,400,000  บาท  โดยผ่อนชำระเป็น  24  งวด  งวดละเดือน  เดือนละ  100,000  บาท  หากผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมด  ยอมให้โจทก์บังคับคดีชำระหนี้ที่ค้างชำระทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบต่อปีนับแต่วันผิดนัดได้ทันที  ศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ  กรณีใดกรณีหนึ่งดังต่อไปนี้

(ก) จำเลยอุทธรณ์ว่า  ดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดตามสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นการพิพากษาที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมาย  เพราะเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องและขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน

(ข) จำเลยยื่นคำร้องว่า  โจทก์เคยฟ้องจำเลยเกี่ยวกับเช็คพิพาทมาแล้ว  ศาลพิพากษายกฟ้อง  ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำ  ขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำพิพากษาตามยอมและพิพากษายกฟ้องโจทก์

ให้วินิจฉัยว่า  อุทธรณ์ของจำเลยตาม  (ก)  ฟังขึ้นหรือไม่  และศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งตามคำร้องของจำเลยตาม  (ข)  ได้หรือไม่

                                                                                      ธงคำตอบ

(ก) โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลและศาลพิพากษาไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น  มิใช่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทอย่างคดีธรรมดาที่ต้องพิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยแล้วจึงชี้ขาดข้อพิพาท  ข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมความยอมดังกล่าวจึงอาจมีผลไม่ตรงหรือเกินกว่าที่ปรากฏในคำฟ้องก็ได้  ถ้าข้อตกลงนั้นเกี่ยวพันกับประเด็นแห่งคดีและไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย  เพราะเป็นไปตามข้อตกลงที่คู่ความต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน  จึงไม่ตกอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  142  ซึ่งต้องห้ามมิให้พิพากษาเกินคำขอหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง  การที่ศาลพิพากษาไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ  แม้ดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดอัตราร้อยละสิบต่อปี  เกินกว่าอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามคำขอของโจทก์  ก็หาเป็นการต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนไม่  (คำพิพากษาฎีกาที่  3191/2547  และ  1222/2549)  อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น

(ข) จำเลยยื่นคำร้องว่า  ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำ  ขอให้ศาลชั้นต้นพิพากษาเพิกถอนคำพิพากษาตามยอมนั้น  เป็นกรณีที่จำเลยกล่าวอ้างว่าคำพิพากษาตามยอมละเมิดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน  ซึ่งต้องด้วยข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  138  วรรคสอง  ที่ให้อุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมได้  จำเลยจึงชอบที่จะอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลนั้น  ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำพิพากษาตามยอมของศาลนั้นเองได้  (คำพิพากษาฎีกาที่  5581/2549  และ  6915/2554)  ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลย




            ข้อ  3. นายขาวฟ้องนายเขียวว่า  นายเขียวผิดสัญญาก่อสร้างบ้านพักที่ทำไว้กับนายเหลือง  ขอให้นายเขียวชดใช้ค่าเสียหายแก่นายเหลือง  1,000,000  บาท  โดยนายขาวบรรยายฟ้องว่าได้รับมอบอำนาจจากนายเหลืองให้มาฟ้องคดีแทน  ตามหนังสือมอบอำนาจท้ายคำฟ้อง  นายเขียวให้การว่า  นายเหลืองเป็นฝ่ายที่ผิดสัญญา  ทำให้นายเขียวได้รับความเสียหาย  2,000,000  บาท  ขอให้ยกฟ้อง  และฟ้องแย้งขอให้นายเหลืองชดใช้ค่าเสียหายจำนวนดังกล่าว  ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นายขาวนำสืบก่อน  ก่อนวันสืบพยาน  10  วัน  นายขาวยื่นคำร้องว่า  ขณะยื่นคำฟ้องต่อศาลนั้น  นายเหลืองยังไม่ตัดสินใจว่าจะฟ้องนายเขียวหรือไม่  แต่นางแดงภริยานายเหลืองเกรงว่าคดีจะขาดอายุความจึงปลอมลายมือชื่อนายเหลืองในหนังสือมอบอำนาจที่ให้นายขาวฟ้องคดีนี้ไว้ก่อน  บัดนี้นายเหลืองได้ทราบเรื่องและเห็นด้วยกับการกระทำของนางแดง  และได้ทำหนังสือมอบอำนาจฉบับใหม่ให้ฟ้องนายเขียวแล้ว  จึงขอแก้ไขคำฟ้องเป็นว่า  นายเหลืองได้มอบอำนาจให้นายขาวฟ้องคดีนี้ตามหนังสือมอบอำนาจฉบับใหม่  นายเขียวรับสำเนาคำร้องแล้วไม่ค้าน  ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้แก้ไขคำฟ้องได้เป็นกรณีที่  1  แต่หากนายขาวไม่ขอแก้ไขคำฟ้องดังกล่าว  และต่อมาศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว  พิพากษายกฟ้อง  เพราะเหตุลายมือชื่อนายเหลืองในหนังสือมอบอำนาจเป็นลายมือชื่อปลอม  พร้อมกันนั้นก็พิพากษาให้นายเหลืองรับผิดชดใช้ค่าเสียหายจากการผิดสัญญาให้แก่นายเขียว  ตามฟ้องแย้งตามที่ได้ความจากการนำสืบของนายเขียว  เป็นกรณีที่  2

ให้วินิจฉัยว่า  คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้แก้ไขคำฟ้องในกรณีที่  1  และคำพิพากษาที่ให้นายเหลืองรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามฟ้องแย้งในกรณีที่  2  ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

                                                                              ธงคำตอบ

กรณีที่  1  ลายมือชื่อของนายเหลืองในหนังสือมอบอำนาจให้นายขาวฟ้องนายเขียวเป็นลายมือชื่อปลอม  การฟ้องคดีของนายขาวจึงเป็นการกระทำโดยไม่มีอำนาจและไม่ชอบด้วยกฎหมายมาแต่แรก  การที่นายขาวขอแก้ไขคำฟ้องเป็นว่า  ต่อมานายเหลืองได้มอบอำนาจให้นายขาวฟ้องคดีตามหนังสือมอบอำนาจฉบับใหม่แล้ว  หาทำให้คำฟ้องที่เสียไปใช้ไม่ได้แล้วนั้นกลับคืนมาเป็นคำฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายได้ไม่  คำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของนายขาวไม่ใช่เป็นการขอเพิ่มเติมคำฟ้องเดิมให้บริบูรณ์  ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  179  วรรคสอง  (2)คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้นายขาวแก้ไขคำฟ้องจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย  (คำพิพากษาฎีกาที่  4181/2533)

กรณีที่  2  ลายมือชื่อของนายเหลืองในหนังสือมอบอำนาจให้นายขาวฟ้องคดีเป็นลายมือชื่อปลอม  ย่อมถือได้ว่านายเหลืองไม่ได้มอบอำนาจให้นายขาวฟ้องคดี  นายขาวจึงไม่มีอำนาจฟ้องนายเขียวแทนนายเหลือง  ผลจึงเท่ากับว่าไม่มีตัวโจทก์เข้ามาเป็นคู่ความที่ฟ้องคดี  กรณีเช่นนี้ฟ้องแย้งของนายเขียวย่อมตกไป  เพราะการดำเนินกระบวนพิจารณาตามฟ้องแย้งนั้นจะต้องมีตัวโจทก์เดิมเป็นจำเลยตามฟ้องแย้งด้วย  คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษาให้นายเหลืองรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามฟ้องแย้งของนายเขียวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย  (คำพิพากษาฎีกาที่  8387-8391/2553)




            ข้อ  4. คดีสามัญเรื่องหนึ่ง  จำเลยที่  1  และที่  2  ขาดนัดยื่นคำให้การ  ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีฝ่ายเดียวแล้วพิพากษาให้จำเลยที่  1  และที่  2  ชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินแก่โจทก์  ศาลส่งคำบังคับให้จำเลยที่  1  และที่  2  โดยวิธีปิดประกาศไว้ที่หน้าศาลเมื่อวันที่  15  พฤศจิกายน  2550  ต่อมาวันที่  5  มกราคม  2551  โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยที่  1  เพื่อขายทอดตลาด  วันที่  6  กันยายน  2551  จำเลยที่  2  ยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่โดยอ้างเหตุว่า  ขณะโจทก์ฟ้องและส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยที่  2  จำเลยที่  2  ไปทำงานอยู่ที่ต่างประเทศ  เพิ่งเดินทางกลับมาประเทศไทยเมื่อวันที่  20  สิงหาคม  2551  จึงทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง  จำเลยที่  2  ไม่ได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและจำเลยที่  2  ไม่เคยกู้ยืมเงินโจทก์  ลายมือชื่อจำเลยที่  2  ในหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเป็นลายมือชื่อปลอม  ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำขอ  ในวันนัดไต่สวนศาลชั้นต้นสั่งงดไต่สวนแล้ววินิจฉัยว่าจำเลยที่  2  ยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่เมื่อพ้นกำหนดหกเดือนนับแต่วันยึดทรัพย์  ต้องห้ามไม่ให้ยื่นคำขอตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  199  จัตวา  ให้ยกคำขอให้พิจารณาคดีใหม่

ให้วินิจฉัยว่า  คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยที่  2  ดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
                                                                                   ธงคำตอบ

การยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่  ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  199  จัตวา  กำหนดให้จำเลยที่ขาดนัดยื่นคำให้การยื่นต่อศาลชั้นต้นภายในสิบห้าวันนับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาให้แก่จำเลย  หรือนับจากกรณีมีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลง  หรือหกเดือนนับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์หรือมีการบังคับตามคำพิพากษาโดยวิธีอื่น  ซึ่งกำหนดหกเดือนนับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์หมายถึงการยึดทรัพย์ของจำเลยที่ได้ยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่  คดีนี้มีการยึดทรัพย์ของจำเลยที่  1  เพื่อบังคับตามคำพิพากษามิได้ยึดทรัพย์ของจำเลยที่  2  ดังนั้น  กำหนดเวลาหกเดือนจึงไม่อาจนำมาใช้บังคับแก่จำเลยที่  2  ได้  การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่  2  ยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่เมื่อพ้นกำหนดหกเดือนนับวันที่ได้ยึดทรัพย์ต้องห้ามตามมาตรา  199  จัตวา  จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

จำเลยที่  2  อ้างในคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ว่า  ขณะโจทก์ฟ้องและส่งหมายเรียกให้แก่จำเลยที่  2  นั้น  จำเลยที่  2  ไปทำงานอยู่ที่ต่างประเทศ  เพิ่งเดินทางกลับประเทศไทย เมื่อวันที่  20  สิงหาคม  2551  จึงทราบว่าถูกโจทก์ฟ้อง  อันเป็นการแสดงว่าจำเลยที่  2  ไม่สามารถยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้ส่งคำบังคับให้จำเลยที่  2  เพราะมีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้  จำเลยที่  2  จึงชอบที่จะยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่พฤติการณ์นอกเหนือที่ไม่อาจบังคับได้สิ้นสุดลง  คือ  นับแต่วันที่  20  สิงหาคม  2551  แต่จำเลยที่  2  ยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่เมื่อวันที่  6  กันยายน  2551  จึงมิได้ยื่นคำขอภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว  ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยที่  2  จึงชอบแล้ว  (คำพิพากษาฎีกาที่  3153/2533  และ  2152/2536)




            ข้อ  5.  โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ค่าวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างแก่โจทก์จำนวน  350,000  บาท  จำเลยให้การโดยชัดแจ้งว่า  ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม  จำเลยไม่เคยซื้อสินค้าจากโจทก์ตามฟ้อง  และฟ้องโจทก์ขาดอายุความ  ขอให้ยกฟ้อง  ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า  ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม  และข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยซื้อสินค้าและเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง  แต่คดีโจทก์ขาดอายุความ  พิพากษายกฟ้อง  โจทก์อุทธรณ์ว่า  ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ  จำเลยยื่นคำแก้อุทธรณ์ว่า  คดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว  ศาลอุทธรณ์เห็นว่าฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ  พิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ตามฟ้อง  จำเลยฎีกาว่า

(ก)ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและพยานหลักฐานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยซื้อสินค้าจากโจทก์ตามฟ้องโดยกล่าวเหตุผลไว้โดยชัดแจ้งในฎีกาปัญหาดังกล่าว

(ข)ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ  โดยจำเลยขอถือเอาคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยเป็นส่วนหนึ่งของฎีกาในข้อนี้

ให้วินิจฉัยว่า  จำเลยจะฎีกาในปัญหาตาม  (ก)  และ  (ข)  ได้หรือไม่

                                                                                   ธงคำตอบ

(ก) คำพิพากษาศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยในประเด็นที่จำเลยฎีกาว่า  ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและพยานหลักฐานของโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยซื้อสินค้าจากโจทก์ซึ่งเป็นประเด็นที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้แล้ว  แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้องโจทก์  เนื่องจากเห็นว่าคดีขาดอายุความ  โดยจำเลยไม่จำต้องอุทธรณ์ในประเด็นข้ออื่นที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยเป็นคุณแก่โจทก์ก็ตาม  แต่เมื่อโจทก์อุทธรณ์ว่า  คดีไม่ขาดอายุความ  หากจำเลยไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยเป็นฝ่ายแพ้ในประเด็นข้อใด  อย่างไร  จำเลยก็ชอบที่จะโต้แย้งไว้ในคำแก้อุทธรณ์ด้วย  แต่ปรากฏว่าคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยคงกล่าวแก้แต่เฉพาะประเด็นเรื่องอายุความที่โจทก์อุทธรณ์เท่านั้น  เมื่อจำเลยไม่ได้โต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมและจำเลยต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ตามฟ้อง  ปัญหาดังกล่าวจึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น  จำเลยจะยกขึ้นฎีกาอีกไม่ได้  เพราะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์  ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  249  วรรคหนึ่ง  (คำพิพากษาฎีกาที่  7693/2550)  จำเลยจึงฎีกาในปัญหาตาม  (ก)  ไม่ได้

(ข) ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จะยกขึ้นอ้างในการยื่นฎีกานั้น  จะต้องกล่าวไว้โดยชัดแจ้งในฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  249  วรรคหนึ่ง  ที่จำเลยฎีกาว่า  คดีโจทก์ขาดอายุความ  โดยขอถือเอาคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยเป็นส่วนหนึ่งของฎีกาในข้อนี้นั้น  ฎีกาของจำเลยข้อนี้มิได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ยกขึ้นอ้างไว้โดยชัดแจ้งในฎีกา  จึงเป็นฎีกาไม่ชัดแจ้ง  ต้องห้ามฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว  (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่  6446/2552)  จำเลยจึงฎีกาปัญหาตาม  (ข)  ไม่ได้เช่นกัน




            ข้อ  6.  โจทก์ฟ้องจำเลยให้ส่งคืนสร้อยเพชร  1  เส้น  ราคา  10,000,000  บาท  โดยอ้างว่าจำเลยขอยืมไปแล้วไม่คืน  จำเลยให้การต่อสู้คดีปฏิเสธความรับผิดและฟ้องแย้งว่า  โจทก์ขายสร้อยเพชรเส้นดังกล่าวให้แก่จำเลยในราคา  10,000,000  บาท  โดยมีข้อตกลงว่าโจทก์จะคืนส่วนลดร้อยละ  3  เป็นจำนวน  300,000  บาท  ให้แก่จำเลยภายใน  3  เดือน  นับแต่วันซื้อขาย จำเลยชำระราคาทั้งหมดให้แก่โจทก์แล้ว  แต่เมื่อครบกำหนดโจทก์ไม่คืนเงินส่วนลด  ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์ชำระเงิน  300,000  บาท  ตามฟ้องแย้งให้แก่จำเลย  โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งปฏิเสธความรับผิด  ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า  โจทก์ขายสร้อยเพชรให้แก่จำเลยโดยไม่มีส่วนลด  พิพากษายกฟ้องโจทก์และยกฟ้องแย้งจำเลย  โจทก์และจำเลยอุทธรณ์คำพิพากษา  ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ทั้งสองฉบับ  ขณะคดีอยู่ระหว่างส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่โจทก์และจำเลยเพื่อแก้  สำนวนความยังอยู่ที่ศาลชั้นต้น  ปรากฏว่า

(ก)โจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาว่า  จำเลยไม่ระมัดระวังในการเก็บรักษาสร้อยเพชร  ขอให้ศาลมีคำสั่งให้จำเลยนำสร้อยเพชรมาวางศาลเพื่อป้องกันความเสียหาย

(ข)จำเลยยื่นคำร้องขอให้คุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาในส่วนฟ้องแย้งว่า  โจทก์มีหนี้สินมากเพราะธุรกิจของโจทก์ล้มเหลว  โจทก์เหลือทรัพย์สินเพียงรถยนต์  1  คัน  ราคาประมาณ  300,000  บาท  และกำลังจะขาย  ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ยึดรถยนต์คันดังกล่าวไว้ก่อนพิพากษา

ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว  มีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาของโจทก์และจำเลย

ให้วินิจฉัยว่า  คำสั่งของศาลชั้นต้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

                                                                                    ธงคำตอบ

(ก) คำขอของโจทก์ที่ขอให้ศาลมีคำสั่งให้จำเลยนำสร้อยเพชรมาวางศาลเพื่อป้องกันความเสียหาย  เป็นคำขอให้ใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  264  และเป็นคำขอหลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์แล้ว  คดีจึงอยู่ในชั้นอุทธรณ์  อำนาจสั่งอยู่ที่ศาลอุทธรณ์  ศาลชั้นต้นต้องส่งไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาสั่ง  คำสั่งของศาลชั้นต้นจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) คำขอของจำเลยที่ขอให้ยึดรถยนต์ของโจทก์ไว้ก่อนพิพากษา  เป็นคำขอให้ใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  254  (1)แม้จะเป็นคำขอในขณะที่คดีอยู่ในชั้นอุทธรณ์ซึ่งต้องด้วยข้อยกเว้นตามมาตรา  254  วรรคสุดท้าย  ประกอบมาตรา  144  (3)  ที่ให้ศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งได้ก็ตาม  แต่เมื่อฟ้องแย้งของจำเลยมีทุนทรัพย์  300,000  บาท  ซึ่งเป็นคดีมโนสาเร่  กรณีจึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ที่จำเลยซึ่งเป็นโจทก์ในคดีฟ้องแย้งจะขอให้ใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาตามมาตรา  254  ได้  คำสั่งของศาลชั้นต้นจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน




            ข้อ  7.นายเช้าเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาจำนวน  1,000,000  บาท  ของนายบ่าย  และนายเช้ายังเป็นลูกหนี้เงินกู้ยืมจำนวน  1,000,000  บาท  ของนายเที่ยง  โดยนายเช้าและนายสายซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินแปลงหนึ่ง  ได้ร่วมกันจดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันหนี้ให้ไว้ต่อนายเที่ยง  และหนี้นั้นถึงกำหนดชำระแล้ว  ส่วนนายสายเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาจำนวน  1,000,000  บาท  ของนายเย็น  นายเย็นนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินแปลงดังกล่าวออกขายทอดตลาดได้เงินจำนวน  1,500,000  บาท  ปรากฏว่า

(ก) นายเที่ยงยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองจำนวน  1,000,000  บาท  ก่อนเจ้าหนี้อื่น  นายเย็นยื่นคำคัดค้านว่า  นายเที่ยงยังมิได้ฟ้องนายเช้า  และนายเช้าก็มิได้เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีของนายเย็น  ขอให้ยกคำร้อง

(ข) นายบ่ายยื่นคำร้องขอเฉลี่ยเงินที่ได้จากการขายทอดตลาด  เพราะนายเช้าไม่มีทรัพย์สินใดอีก  นายเย็นยื่นคำคัดค้านว่า  นายเช้ามิได้เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีของนายเย็น  ขอให้ยกคำร้อง

ศาลไต่สวนแล้ว  ข้อเท็จจริงได้ความตามคำร้องและคำคัดค้าน

ให้วินิจฉัยว่า  ศาลจะมีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องของนายเที่ยงและนายบ่ายได้หรือไม่

ธงคำตอบ

(ก) นายเที่ยงเป็นเจ้าหนี้จำนองที่ดินกรรมสิทธิ์รวมแปลงดังกล่าว  แม้นายเช้ามิได้ถูกนายเที่ยงฟ้องและมิได้เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีของนายเย็น  นายเที่ยงก็มีสิทธิได้รับชำระหนี้จำนองในฐานะเจ้าหนี้จำนองในฐานะเจ้าหนี้จำนองจากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดิน  ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  289  วรรคหนึ่ง  (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่  5753/2537  และ  1975/2551)

(ข) แม้นายเช้าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินแปลงดังกล่าว  แต่เมื่อนายเช้ามิได้เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีของนายเย็น  นายบ่ายจึงไม่มีสิทธิร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ในคดีที่นายเย็นนำยึดที่ดินของนายสายซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของนายเย็นได้  ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  290  วรรคหนึ่ง  (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่  487/2552)




            ข้อ  8.  คดีล้มละลายเรื่องหนึ่ง  ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองชั่วคราว  และโจทก์นำเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยึดทรัพย์ของจำเลยที่  1  ไว้  เมื่อคดีเสร็จการพิจารณา  ศาลพิพากษายกฟ้อง  โจทก์อุทธรณ์พร้อมยื่นคำร้อง  2  ฉบับ  ฉบับแรกอ้างว่า  หากจำเลยที่  1  ได้รับทรัพย์ที่ยึดคืนไป  จำเลยที่  1  อาจยักย้ายทรัพย์ที่ยึดไปให้พ้นอำนาจศาล  ขอศาลฎีกามีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์งดการถอนการยึดไว้ก่อน  ฉบับที่สองอ้างว่า  จำเลยที่  2  มีพฤติการณ์จะโอนสิทธิทรัพย์สินโดยการฉ้อฉล  เพื่อเป็นการคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างพิจารณา  ขอศาลฎีกามีคำสั่งให้ยึดทรัพย์ของจำเลยที่  2  ไว้ก่อน

ให้วินิจฉัยว่า  ศาลฎีกาจะมีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องทั้งสองฉบับของโจทก์ได้หรือไม่

ธงคำตอบ

คำร้องของโจทก์ที่ขอศาลฎีกามีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์งดการถอนการยึดทรัพย์ของจำเลยที่  1  ไว้ก่อนนั้น  เป็นกรณีที่โจทก์มุ่งหมายขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  264  ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายยและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย  พ.ศ.2542  มาตรา  14  ศาลฎีกาจึงมีอำนาจสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์งดการถอนการยึดทรัพย์ของจำเลยที่  1  ไว้ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาตามคำร้องฉบับแรกได้  (เทียบคำสั่งคำร้องศาลฎีกาที่  1766/2531)

พระราชบัญญัติล้มละลาย  พ.ศ.2483  มีบทบัญญัติเรื่องการขอให้ยึดทรัพย์ของจำเลยชั่วคราวก่อนพิพากษาไว้โดยเฉพาะตามมาตรา  17  แล้ว  โดยโจทก์อาจขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยชั่วคราวได้ก่อนศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดเท่านั้น  และเมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์แล้ว  มาตรา  19  วรรคหนึ่ง  บัญญัติให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยึดบรรดาทรัพย์สินของจำเลยได้  ดังนั้น  แม้โจทก์จะอ้างว่าเป็นการขอคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา  แท้จริงแล้วเป็นการขอศาลให้มีคำสั่งยึดทรัพย์ของจำเลยที่  2  ไว้ก่อนพิพากษานั่นเอง  จึงนำบทบัญญัติว่าด้วยการยึดทรัพย์ของจำเลยก่อนพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  254  (1)มาใช้บังคับไม่ได้  ศาลฎีกาต้องมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์ที่ขอให้ยึดทรัพย์ของจำเลยที่  2  ตามคำร้องฉบับที่สอง  (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่  3721/2535)




            ข้อ  9.บริษัทเอ  จำกัด  ลูกหนี้เป็นหนี้นายรวยในมูลหนี้ตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดตลิ่งชันจำนวน  20,000,000  บาทซึ่งศาลจังหวัดตลิ่งชันได้ออกหมายบังคับคดีแล้ว  นอกจากนี้บริษัทเอ  จำกัด  ยังเป็นหนี้บุคคลอื่นอีกหลายราย  ต่อมาศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของบริษัทเอ  จำกัด  และตั้งผู้ทำแผน  นายรวยยื่นคำขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการในมูลหนี้ตามคำพิพากษาเป็นเงิน  20,000,000  บาท  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้เต็มตามขอ  ส่วนแผนฟื้นฟูกิจการกำหนดให้นายรวย  เป็นเจ้าหนี้กลุ่มที่  16  และได้รับชำระหนี้ร้อยละ  70 โดยให้ได้รับชำระหนี้งวดแรกหลังจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนแล้ว  1  ปี  เป็นจำนวนร้อยละ  10  และต่อไปทุกๆ  ปี  ปีละร้อยละ  5  จนกว่าจะครบ  ที่ประชุมเจ้าหนี้พิจารณาแล้วลงมติพิเศษยอมรับแผน  โดยในวันดังกล่าวนายรวยมิได้เข้าประชุม  ต่อมาศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน  หลังจากนั้นนายรวยเห็นว่าการที่ตนจะได้รับชำระหนี้ตามแผนจะต้องใช้เวลานานและแผนกำหนดให้มีสิทธิได้รับชำระหนี้เพียงบางส่วนของหนี้ตามคำพิพากษาเท่านั้น  จึงต้องการให้ดำเนินการบังคับคดีในคดีแพ่งต่อไป

ให้วินิจฉัยว่า  นายรวยจะดำเนินการขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ตามหมายบังคับคดีของศาลจังหวัดตลิ่งชันเพื่อนำมาชำระหนี้แก่ตนเป็นเงิน  20,000,000  บาท  ได้หรือไม่

ธงคำตอบ

ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย  พ.ศ.2483  มาตรา  90/60  วรรคหนึ่ง  กำหนดให้แผนซึ่งศาลมีคำสั่งเห็นชอบแล้ว  ผูกมัดเจ้าหนี้ซึ่งอาจขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการได้และเจ้าหนี้ซึ่งมีสิทธิได้รับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการ  ส่วนการที่เจ้าหนี้จะได้รับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการจริงย่อมเป็นไปตามเงื่อนไขและกำหนดเวลาตามที่กำหนดไว้ในแผนฟื้นฟูกิจการ

เมื่อมูลหนี้ตามคำพิพากษาที่นายรวยนำมายื่นคำขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการนั้นเกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้  นายรวยได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการแล้ว  ทั้งแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ได้กำหนดเงื่อนไขและกำหนดเวลาในการชำระหนี้ให้แก่นายรวยไว้ซึ่งต่อมาศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนแล้ว  แม้นายรวยจะไม่ได้เข้าร่วมประชุมเจ้าหนี้  นายรวยก็ต้องผูกพันในการที่จะได้รับชำระหนี้ตามแผน  นายรวยไม่อาจได้รับชำระหนี้โดยวิธีอื่นนอกจากตามเงื่อนไขและกำหนดเวลาตามที่กำหนดไว้ในแผน  (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่  2125/2548)

อนึ่ง  นายรวยเจ้าหนี้ต้องห้ามมิให้บังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย  พ.ศ.2483  มาตรา  90/12  (5)  นายรวยจึงไม่อาจดำเนินการขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ตามหมายบังคับคดีของศาลจังหวัดตลิ่งชันเพื่อนำมาชำระหนี้แก่ตนได้


            ข้อ  10.  ในการบังคับคดีของศาลแพ่งคดีหนึ่ง  โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์สินของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา  2  รายการ  คือ  ที่ดินราคา  400,000  บาท  กับรถยนต์ราคา  200,000  บาท  และอายัดเงิน  300,000  บาท  จากบุคคลภายนอกที่ถึงกำหนดชำระให้แก่จำเลย  ซึ่งต่อมาบุคคลภายนอกได้ส่งเงินจำนวนดังกล่าวมาไว้ที่ศาลแล้ว  ปรากฏว่านายแดงยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์  นายขาวยื่นคำร้องขอให้ปล่อยรถยนต์ที่ยึดและนายเขียวยื่นคำร้องขอให้ปล่อยเงิน  300,000  บาท  ที่บุคคลภายนอกส่งมายังศาลตามหมายอายัด

นายสุเทพ  หนึ่งในองค์คณะผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาพิพากษาคดีนี้  พิจารณาคำร้องทั้งสามฉบับแล้ว  มีคำสั่งอนุญาตให้นายแดงเข้าเฉลี่ยทรัพย์ได้  และมีคำสั่งให้ปล่อยรถยนต์ที่ยึดตามคำร้องของนายขาว  แต่ยกคำร้องของนายเขียวโดยวินิจฉัยว่า  การขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดจะมีได้ก็แต่เฉพาะการยึดทรัพย์เพื่อขายทอดตลาดเท่านั้น

ให้วินิจฉัยว่า  คำสั่งของนายสุเทพชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือไม่

ธงคำตอบ

ศาลแพ่งเป็นศาลที่ต้องมีผู้พิพากษาอย่างน้อยสองคนเป็นองค์คณะที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  26  การที่นายสุเทพผู้พิพากษาคนเดียวสั่งคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์อันเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดีว่า  นายแดงมีสิทธิขอเฉลี่ยเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยได้หรือไม่  จึงไม่อยู่ในอำนาจของนายสุเทพผู้พิพากษาคนเดียวที่จะพิจารณามีคำสั่งได้  ตามมาตรา  24  (2)  และมาตรา  25  (คำพิพากษาฎีกาที่  3977/2553)

คำร้องขอของนายขาวที่ขอให้ปล่อยรถยนต์ที่ยึด  ถือเป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาทรัพย์สินที่ขอให้ปล่อยนั้น  ซึ่งก็คือราคารถยนต์  200,000  บาท  จึงอยู่ในอำนาจของนายสุเทพผู้พิพากษาคนเดียวที่จะพิจารณาพิพากษาได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  25  (4)

คำสั่งยกคำร้องขอของนายสุเทพที่ให้ปล่อยเงินที่ส่งมาตามหมายอายัด  เป็นการวินิจฉัยถึงอำนาจในการยื่นคำร้องว่านายเขียวมีอำนาจยื่นคำร้องดังกล่าวหรือไม่  อันเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดี  จึงไม่อยู่ในอำนาจของนายสุเทพผู้พิพากษาคนเดียวที่จะพิจารณามีคำสั่งได้  คำสั่งของนายสุเทพจึงไม่ชอบ  (คำพิพากษาฎีกาที่  11417/2553)


ดังนั้น  คำสั่งเรื่องขอเฉลี่ยและคำสั่งยกคำร้องขอปล่อยเงินที่อายัดของนายสุเทพจึงไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม  มาตรา  26  ส่วนคำสั่งเรื่องขอให้ปล่อยรถยนต์แก่นายขาวของนายสุเทพชอบด้วยกฎหมายแล้ว