ไล่สาย ขั้นเทพ ถาม-ตอบ ตามแนวฎีกา ข้อ5 วิ.แพ่ง ภาค3
เตรียมสอบเนติบัณฑิต ภาค 2 สมัยที่ 77 (ชุดที่1)
https://www.lawsiam.com/?name=download&file=filedetail&max=6262
สรุปย่อ เจาะหลักกฎหมาย ฏีกาเก็ง ฎีกาเด่น เน้นประเด็น เตรียมสอบ 3 สนาม อัพเดท
ไล่สาย ขั้นเทพ ถาม-ตอบ ตามแนวฎีกา ข้อ5 วิ.แพ่ง ภาค3
เตรียมสอบเนติบัณฑิต ภาค 2 สมัยที่ 77 (ชุดที่1)
https://www.lawsiam.com/?name=download&file=filedetail&max=6262
แนวข้อสอบอัยการผู้ช่วย
ใกล้เคียงกับ วิชากฎหมายอาญา ข้อ ๑ เนติฯ (ข้อสอบ อาญา เนติ ๒๕๔๓)
คำถามที่เคยออกเป็นข้อสอบสมัย
๕๓ ปีการศึกษา ๒๕๔๓
ถามว่า
นางเดือนคนไทยเป็นนายหน้าหาหญิงไปค้าประเวณี ได้ไปที่ประเทศมาเลเซียและชักชวน
นางดาวคนมาเลเซียไปค้าประเวณีที่ประเทศญี่ปุ่น โดยนางเดือนเป็นธุระจัดการในเรื่อง การเดินทาง
นางดาวตกลงเต็มใจไปด้วย นางเดือนพานางดาวเดินทางจากประเทศมาเลเซีย ไปส่งให้สถานค้าประเวณีที่ประเทศญี่ปุ่น
นางเดือนได้รับค่าใช้จ่ายในการเดินทางคืนกับได้ ค่านายหน้าอีกจำนวนหนึ่งเป็นของตน
นางดาวค้าประเวณีที่ประเทศญี่ปุ่นได้วันเดียวก็ถูกตํารวจจับ
แต่นางเดือนหนีกลับประเทศไทยได้ ทางการประเทศญี่ปุ่นแจ้งให้ตํารวจไทยทราบ
การกระทําของนางเดือนเป็นความผิดฐานเป็นธุระจัดหาหรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งชายหรือหญิงเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๒๘๒ ต่อมา นางเดือนถูกจับได้ในประเทศไทย
พนักงานอัยการฟ้องนางเดือนต่อศาลอาญาขอให้ลงโทษในความผิดฐานดังกล่าว
ให้วินิจฉัยว่า
นางเดือนจะถูกลงโทษในราชอาณาจักรได้หรือไม่
ตามคำถาม
เป็นการกระทําความผิดเกี่ยวกับเพศ ซึ่งตามมาตรา ๗ และมาตรา ๘
ต่างระบุความผิดเกี่ยวกับเพศไว้ แต่ฐานความผิดที่ระบุไว้เป็นคนละฐานกัน มาตรา ๘
(๓) เป็นความผิดเกี่ยวกับเพศตามมาตรา ๒๗๖ คือ ฐานข่มขืนกระทําชําเรา มาตรา ๒๘๐
คือฐานกระทําอนาจารตามมาตรา ๒๗๘ หรือมาตรา ๒๗๙ เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทําได้รับอันตรายสาหัสหรือถึงแก่ความตาย
มาตรา ๒๘๕ ฐานข่มขืนกระทําชําเราผู้สืบสันดานหรือศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแล ส่วนมาตรา ๗ (๒ ทวิ) เป็นความผิดเกี่ยวกับเพศตามที่บัญญัติ ไว้ในมาตรา
๒๘๒ และมาตรา ๒๘๓
ข้อสังเกต
ที่ใช้คำว่า “ทางการประเทศญี่ปุ่นแจ้งให้ตํารวจไทยทราบ”
แสดงว่า ผู้ออกข้อสอบประสงค์จะให้ตอบเกี่ยวกับมาตรา ๘ ด้วย
ประการแรกจะต้องตอบว่ามาตรา ๒๘๒ เป็นความผิดที่ระบุไว้ในมาตรา ๘ วรรคสอง หรือไม่
และต้องแปลความคำว่า “การที่ประเทศญี่ปุ่นแจ้งให้ตํารวจไทยทราบ”
ถือว่าเป็นการร้องขอให้ลงโทษหรือไม่ ถ้าถือว่า
เป็นการร้องขอให้ลงโทษ ก็จะต้องตอบว่ากรณีนี้จะลงโทษนางเดือนภายในราชอาณาจักร โดยอาศัยมาตรา
๘ ได้หรือไม่ด้วย
คำตอบ
นางเดือนกระทําความผิดนอกราชอาณาจักร และเป็นความผิดเกี่ยวกับเพศตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๒๘๒ ซึ่งเป็นความผิดที่ระบุไว้ ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗ (๒ ทวิ)
นางเดือนจะต้องรับโทษในราชอาณาจักร ตามมาตรา ๗
แม้ทางราชการประเทศญี่ปุ่นจะได้แจ้งให้ตํารวจไทยทราบอันถือว่าเป็นการร้องขอ ให้ลงโทษตามมาตรา ๘ (ก) แต่ความผิดที่นางเดือนกระทํานั้นมิใช่ความผิดที่ระบุไว้ในวรรคสองของมาตรา ๘ ดังนั้น นางเดือนจึงไม่ต้องรับโทษในราชอาณาจักรตามมาตรา ๘
วิชา กฏหมายอาญา มาตรา ๑-๕๘, ๑๐๗ - ๒๐๘ อ.อุทัยฯ สมัยที่ ๗๗ ครั้งที่ ๓
คำถามสมัย
๕๒ ปี ๒๕๔๒
ถามว่า นายซิงห์คนสัญชาติอินเดีย
ใช้มีดกรีดเสื้อ ของนายซันคนสัญชาติอินเดียขาด
เหตุเกิดในเครื่องบินสายการบินแอร์อินเดีย ขณะบินอยู่ ในน่านฟ้าในทะเลหลวง
เมื่อเครื่องบินเข้ามาจอดที่ท่าอากาศยานในประเทศไทย นายซัน
ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนผู้มีอํานาจให้ดําเนินคดีแก่นายซิงห์
ต่อมานายซิงห์ถูกฟ้อง ฐานทําให้เสียทรัพย์ของนายซัน ตามมาตรา ๓๕๘
ให้วินิจฉัยว่า นายซิงห์จะถูกลงโทษ
ในราชอาณาจักรได้หรือไม่เพียงใด
คำตอบ
นายซิงห์ใช้มีดกรีดเสื้อของนายชั้นขาด แม้จะเป็นความผิดฐานทําให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๓๕๘ อันเป็นความผิดที่ระบุไว้ในมาตรา ๘ (๑๓) ก็ตาม
แต่ผู้กระทําความผิดเป็นคนต่างด้าว และนายซันผู้เสียหายเป็นคนสัญชาติ อินเดีย
จึงถือไม่ได้ว่าคนไทยเป็นผู้เสียหาย กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา ๘ (ข) ที่นายซิงห์จะต้องรับโทษในราชอาณาจักร
ดังนั้น กรณีที่พนักงานอัยการฟ้องนายซิงห์ฐานทําให้เสียทรัพย์ของนายซัน นายซิงห์จะถูกลงโทษในราชอาณาจักรไทยไม่ได้
วิชา กฏหมายอาญา มาตรา ๑-๕๘, ๑๐๗-๒๐๘ อ.อุทัยฯ สมัยที่ ๗๗ ครั้งที่ ๓
เจาะหลักกฎหมาย ประเด็นฎีกา : กฎหมายคุ้มครองแรงงาน (เตรียมสอบ ผู้ช่วยผู้พิพากษา)
เตรียมสอบ ผู้ช่วยผู้พิพากษา (ปี ๒๕๖๗ -๒๕๖๘)
ประเด็น การเปลี่ยนโทษจากการเลิกจ้างเป็นการหักค่าจ้างซึ่งเป็นโทษที่ร้ายแรงน้อยกว่าสามารถทําได้ หรือไม่
การหักค่าตอบแทนในระหว่างนัดหยุดงานตามหลัก
no
work no pay หรือการเปลี่ยนโทษจากการเลิกจ้างเป็นการหักค่าจ้างซึ่งเป็นโทษที่ร้ายแรงน้อยกว่าสามารถทําได้
(ฎีกาที่ ๓๔๕๑ - ๓๔๕๒/๒๕๔๙ และที่ ๓๑๐๙/๒๕๓๕)
คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๔๕๑ - ๓๔๕๒/๒๕๔๙
เมื่อบรรดาลูกจ้างของโจทก์ได้ยื่นข้อเรียกร้องขอเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างต่อโจทก์ผู้เป็นนายจ้าง
แล้วบรรดาลูกจ้างดังกล่าวกับโจทก์ได้เจรจากันจนสามารถบรรลุข้อตกลงกันได้และทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพจ้างกันโดยไม่มีข้อตกลงใดที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย
เป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนแล้วข้อตกลงดังกล่าวย่อมมีผลใช้บังคับได้หาตกเป็นโมฆะดังที่บัญญัติไว้ใน
ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๐ แต่อย่างใดไม่ การที่ลูกจ้างได้รวมตัวกันหยุดงานเมื่อยังไม่มีการแจ้งข้อเรียกร้องก็ดี
จำนวนผู้แทนของลูกจ้างผู้เข้าร่วมในการเจรจากันมีจำนวนเกินกว่าเจ็ดคนก็ดี
พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานเข้าดำเนินการไกล่เกลี่ยในวันเดียวกับที่บรรดาลูกจ้างยื่นข้อเรียกร้องก็ดีนั้น
แม้จะเป็นการผิดแผกแตกต่างจากขั้นตอนที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ฯ
ก็หามีผลเป็นเหตุให้ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างซึ่งมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมายดังที่ได้วินิจฉัยแล้วต้องตกเป็นโมฆะ
จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๙ ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานคดีนี้ได้
เมื่อโจทก์มีพฤติการณ์และการกระทำที่ไม่ติดใจเอาโทษต่อจำเลยร่วมทั้งหมดและพวกลูกจ้างโจทก์ในคดีนี้ โดยโจทก์ได้ชี้แจงทำความเข้าใจกับลูกจ้างและหักค่าจ้างสำหรับการเข้าทำงานสายแล้ว โจทก์ก็ไม่ติดใจลงโทษทางวินัยอย่างอื่นอีก จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยร่วมทั้งหมดได้จงใจทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย และโจทก์ย่อมไม่อาจจะนำการกระทำใด ที่บรรดาจำเลยร่วมทั้งหมดและพวกลูกจ้างโจทก์ในคดีนี้ได้กระทำลงไปมาลงโทษทางวินิจฉัยด้วยการเลิกจ้างบรรดาลูกจ้างดังกล่าวได้อีก กรณีไม่มีเหตุจะเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ ๑ และคำสั่งของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๙
ไล่สาย ประเด็นที่น่าสนใจ แนวการออกข้อสอบกฎหมายแรงงาน ⭐⭐⭐⭐⭐
๑. การที่ลูกจ้างได้รวมตัวกันหยุดงานเมื่อยังไม่มีการแจ้งข้อเรียกร้องก็ดี จำนวนผู้แทนของลูกจ้างผู้เข้าร่วมในการเจรจากันมีจำนวนเกินกว่าเจ็ดคนก็ดี พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานเข้าดำเนินการไกล่เกลี่ยในวันเดียวกับที่บรรดาลูกจ้างยื่นข้อเรียกร้องก็ดีนั้น
๒. แม้จะเป็นการผิดแผกแตกต่างจากขั้นตอนที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ฯ ก็หามีผลเป็นเหตุให้ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างซึ่งมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมายดังที่ได้วินิจฉัยแล้วต้องตกเป็นโมฆะ
๓. พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงาน ย่อมมีอำนาจชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานนี้ได้
๓. ดังนั้น เมื่อบรรดาลูกจ้างของโจทก์ได้ยื่นข้อเรียกร้องขอเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างต่อโจทก์ผู้เป็นนายจ้าง แล้วบรรดาลูกจ้างดังกล่าวกับโจทก์ได้เจรจากันจนสามารถบรรลุข้อตกลงกันได้และทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพจ้างกันโดยไม่มีข้อตกลงใดที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนแล้วข้อตกลงดังกล่าวย่อมมีผลใช้บังคับได้หาตกเป็นโมฆะดังที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๐
๔. เมื่อนายจ้างไม่ติดใจลงโทษทางวินัยอย่างอื่นอีก จึงถือไม่ได้ว่าลูกจ้างได้จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย และนายจ้างย่อมไม่อาจจะนำการกระทำใด ที่บรรดาลูกจ้าง ในคดีนี้ได้กระทำลงไปมาลงโทษทางวินิจฉัยด้วยการเลิกจ้างบรรดาลูกจ้างดังกล่าวได้อีก
เจาะหลักกฎหมาย ประเด็นฎีกา : กฎหมายแพ่ง ละเมิด (เตรียมสอบ ผู้ช่วยผู้พิพากษา)
เตรียมสอบ ผู้ช่วยผู้พิพากษา (ปี 2567 -2568)
คำถาม ลูกจ้างกระทำละเมิดในทางการที่จ้าง จะถือว่านายจ้างผิดนัดเมื่อใด
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 7495/2555 ป.พ.พ.มาตรา 206 บัญญัติ ให้หนี้อันเกิดแต่มูลละเมิด ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดมาแต่เวลาที่ทำละเมิด เมื่อจำเลยที่ 1 ทำละเมิดต่อโจทก์และได้ชื่อว่าผิดนัดมาแต่เวลาที่ทำละเมิด จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้างจะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ลูกจ้างในผลแห่งละเมิดซึ่งจำเลยที่ 1 ได้กระทำไปในทางการที่จ้าง จำเลยที่ 2 จึงอยู่ในฐานะเป็นลูกหนี้เช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 และได้ชื่อว่าผิดนัดมาแต่เวลาที่จำเลยที่ 1 ทำละเมิดเช่นเดียวกัน จำเลยทั้งสองจึงต้องเสียดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่จะต้องชดใช้ตั้งแต่วันทำละเมิด มิใช่นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
แนวการเขียนตอบข้อสอบ ⭐⭐⭐⭐⭐
1. ป.พ.พ.มาตรา 206 บัญญัติ ให้หนี้อันเกิดแต่มูลละเมิด ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดมาแต่เวลาที่ทำละเมิด
2. เมื่อลูกจ้าง ทำละเมิดต่อโจทก์และได้ชื่อว่าผิดนัดมาแต่เวลาที่ทำละเมิด นายจ้างจะต้องร่วมรับผิดกับ ลูกจ้างในผลแห่งละเมิดซึ่งลูกจ้าง ได้กระทำไปในทางการที่จ้าง
3. นายจ้าง จึงอยู่ในฐานะเป็นลูกหนี้เช่นเดียวกับลูกจ้าง
4. นายจ้าง จึงผิดนัดมาแต่เวลาที่ลูกจ้าง ทำละเมิดเช่นเดียวกัน
5. ลูกจ้าง และนายจ้าง ทั้งสองจึงต้องเสียดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่จะต้องชดใช้ตั้งแต่วันทำละเมิด มิใช่นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
วิเคราะห์ปัญหาในประเด็นคำถามนี้
1. ลูกจ้างกระทำละเมิดในทางการที่จ้าง จะถือว่านายจ้างผิดนัดเมื่อใด อาจจะเป็นคำถามที่ "ถามง่าย แต่ตอบยาก" ทำให้เกิดความลังเลใจ
2. หลักกฎหมาย เบื้องต้น ทุกท่านทราบ ตอบได้ทันทีอยู่แล้วว่า "หนี้อันเกิดแต่มูลละเมิด ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดมาแต่เวลาที่ทำละเมิด" แต่ปัญหาที่จะต้องตอบ คือ นายจ้างผิดนัดเมื่อใด💣💣💣 เกิดปัญหา ว่าจะตอบไปทางซ้าย ธงอาจจะไปทางขวา (คือ เดา หรือไม่มั่นใจ วัดดวง)
3. .ให้เขียนตอบข้อสอบแบบ "แพ่ง"
https://www.lawsiam.com/?file=lawyer-exam
เจาะหลักกฎหมาย ประเด็นฎีกา (เตรียมสอบ ผู้ช่วยผู้พิพากษา) : กฎหมายแพ่ง
เตรียมสอบ ผู้ช่วยผู้พิพากษา (ปี ๒๕๖๗ -๒๕๖๘)
ประเด็นปัญหา "ผู้ได้รับความเสียหายจะเพิกถอนการโอนได้อย่างไร"
คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๒๑/๒๕๑๙
โจทก์เป็นบุตรของ ร. ซึ่งเกิดจาก ส. มารดา ก่อน ส. ถึงแก่กรรม ส.
ได้ทําพินัยกรรมยกที่พิพาทให้ ร. และโจทก์ โดยระบุให้ ร. เป็นผู้จัดการมรดก
ต่อมา ร. สมรสกับจำเลย และ ร. ได้ลงชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่พิพาทไว้
ในฐานะผู้จัดการมรดก ก่อน ร. ถึงแก่กรรม ร. ไม่ได้ทําสัญญาแบ่งทรัพย์มรดกกับโจทก์
เพียงแต่ได้ทําหนังสือแสดงเจตนาว่าจะแบ่งทรัพย์ของตนให้แก่บุตร
และให้โจทก์ลงชื่อไว้ในหนังสือนั้นด้วยเท่านั้น แล้ว
ร. ได้จดทะเบียนยกที่พิพาทให้จำเลยโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์
โจทก์จึงฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนดังกล่าวส่วนที่เป็นมรดกตกทอดแก่โจทก์
ดังนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิติดตามเอาส่วนของตนคืนได้เสมอ โดยไม่มีอายุความฟ้องร้อง
เว้นแต่กรณี จะต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒,
๑๓๘๓ ฟ้องของโจทก์ มิใช่เป็นการฟ้องเพิกถอนการฉ้อฉลตามมาตรา ๒๓๗
และมิใช่คดีเกี่ยวกับการจัดการมรดก
คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๐๙๐/๒๕๓๘
ต. ทําสัญญาจะซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยร่วมที่ ๑
ซึ่งเป็นผู้มีชื่อในโฉนดที่ดินพิพาท
และทําสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ ๒ แม้ ต่อมา ต. ให้จำเลยร่วมที่ ๑ โอนที่ดินพิพาทให้จำเลยร่วมที่ ๒ และจำเลยร่วมที่
๒ โอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ โดยรู้อยู่แล้วว่า ต.
ได้ทําสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ ๒ แต่จำเลยร่วมที่ ๑ ไม่ใช่ลูกหนี้ของจำเลยที่
๒ เพราะจำเลยร่วมที่ ๑
ไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับจำเลยที่ ๒ ฉะนั้นการที่จำเลยร่วมที่ ๑
โอนที่ดินพิพาทให้จำเลยร่วมที่ ๒ จำเลยที่ ๒
จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๒๓๗ วรรคแรกได้
ต. ทําสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่
๒ โดยไม่มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาท ต.
เพียงแต่ทําสัญญาจะซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยร่วมที่ ๑
ซึ่งเป็นผู้มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินเท่านั้น จำเลยที่ ๒
จึงไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับ จำเลยร่วมที่ ๑ จำเลยที่ ๒ จึงไม่ใช่เจ้าหนี้ของจำเลยร่วมที่ ๑
ทั้งมิใช่บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จำเลยร่วมที่ ๑ จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้จำเลยที่
๒ ได้ก่อน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๐ จำเลยที่ ๒
จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ระหว่างจำเลยร่วมที่ ๑ กับจำเลยร่วมที่
๒ ได้
สรุป ทั้งสองคดีดังกล่าวเป็นเรื่องที่บุคคลหนึ่งเอาที่ดินไปโอนให้แก่บุคคลภายนอก
มีปัญหาว่าผู้ได้รับความเสียหายจะเพิกถอนการโอนได้อย่างไร
ปัญหานี้มีหลักกฎหมายที่อาจนํามาพิจารณาได้ ๓
ลักษณะ คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๐
เรื่องผู้มีสิทธิจดทะเบียนได้ก่อน มาตรา ๑๓๓๖
เรื่องผู้มีกรรมสิทธิ์ติดตามเอาทรัพย์คืน และมาตรา ๒๓๗ เรื่องเพิกถอนการฉ้อฉลต้องเข้าให้ถูกว่าเป็นมาตราใดจึงจะตอบถูก
ที่คำพิพากษาศาลฎีกาทั้งสองคดีดังกล่าววินิจฉัยว่ากรณีนี้ไม่เข้ามาตรา ๒๓๗ แสดงว่าเป็น กรณีที่ไม่ใช่หนี้หรือไม่มีหนี้ผูกพันจึงไม่นํามาตรา ๒๓๗ ซึ่งอยู่ในบทบัญญัติบรรพ ๒ ว่าด้วยหนี้มาใช้บังคับเพื่อเพิกถอนการฉ้อฉลไม่ได้
วิเคราะห์แนวการเขียนตอบข้อสอบกฎหมายแพ่ง ⭐⭐⭐⭐
กฎหมายแพ่งมีประเด็นที่เริ่มเรื่องมา ให้เข้าใจว่าเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ธงคำตอบ มักจะออกมาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ข้อสังเกต "เป็นกรณีที่ท่านอาจารย์ให้ ข้อคิดว่า เพื่อให้มีความเข้าใจว่ากรณีตามข้อเท็จจริงในคดีนี้ เป็นเรื่องหนี้หรือไม่ และให้สามารถนํากฎหมายมาใช้ในการวินิจฉัยได้ถูกต้องตรงตามเรื่องที่พิพาทกัน"
อ้างอิง คำบรรยายเนติฯ วิชา หนี้ อ.ไพโรจน์ วายุภาพ สมัยที่ ๗๗
เจาะหลักกฎหมาย ประเด็นฎีกา (เตรียมสอบ ผู้ช่วยผู้พิพากษา)
กฎหมายกฎหมายแพ่ง หนี้ มรดก (สอบ ปี 2567 -2568)
คำถาม หนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินยังไม่ถึงกำหนดชำระ ผู้กู้ถึงแก่ความตายเสียก่อน ผู้ให้กู้จะฟ้องผู้กู้และผู้ค้ำประกันได้ทันทีหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 3994/2540 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754 วรรคสาม เป็นบทบัญญัติมิให้เจ้าหนี้ฟ้องร้องเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่เจ้าหนี้ได้รู้หรือควรได้รู้ถึงแก่ความตายของลูกหนี้ ในกรณีดังกล่าว เจ้าหนี้ของผู้ตายจะต้องเรียกร้องให้ชำระหนี้จากทรัพย์มรดกของผู้ตายซึ่งเป็นลูกหนี้ในกำหนด 1 ปี นับแต่ลูกหนี้ถึงแก่ความตาย ดังนั้น แม้หนังสือสัญญากู้ยืมเงินที่ลูกหนี้ทำไว้กับโจทก์ยังไม่ถึงกำหนดชำระ แต่ลูกหนี้ได้ถึงแก่ความตายเสียก่อน โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องคดีเพื่อบังคับตามสิทธิเรียกร้องได้ภายใน 1 ปี นับแต่เมื่อโจทก์รู้ถึงความตายของลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 วรรคสาม เพราะสิทธิเรียกร้องของโจทก์ย่อมเกิดขึ้นเมื่อลูกหนี้ถึงแก่ความตาย หากรอจนหนี้ถึงกำหนดชำระ อายุความ 1 ปีตามมาตรา 1754 วรรคสาม ดังกล่าวข้างต้นอาจจะล่วงพ้นไปแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องบังคับให้ชำระหนี้ได้แม้หนี้ยังไม่ถึงกำหนดชำระ
เจาะหลักการเขียนตอบข้อสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา ⭐ ⭐ ⭐ ⭐ ⭐
1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 วรรคสาม เป็นบทบัญญัติมิให้เจ้าหนี้ฟ้องร้องเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่เจ้าหนี้ได้รู้หรือควรได้รู้ถึงแก่ความตายของลูกหนี้
2. ในกรณีดังกล่าว เจ้าหนี้ของผู้ตายจะต้องเรียกร้องให้ชำระหนี้จากทรัพย์มรดกของผู้ตายซึ่งเป็นลูกหนี้ในกำหนด 1 ปี นับแต่ลูกหนี้ถึงแก่ความตาย
3. แม้หนังสือสัญญากู้ยืมเงินที่ลูกหนี้ทำไว้กับเจ้าหนี้ยังไม่ถึงกำหนดชำระ แต่ลูกหนี้ได้ถึงแก่ความตายเสียก่อน เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิฟ้องคดีเพื่อบังคับตามสิทธิเรียกร้องได้ภายใน 1 ปี นับแต่เมื่อเจ้าหนี้รู้ถึงความตายของลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 วรรคสาม 💥💥
4. เพราะสิทธิเรียกร้องของโจทก์ย่อมเกิดขึ้นเมื่อลูกหนี้ถึงแก่ความตาย
5. ดังนั้น หากรอจนหนี้ถึงกำหนดชำระ อายุความ 1 ปีตามมาตรา 1754 วรรคสาม ดังกล่าวข้างต้นอาจจะล่วงพ้นไปแล้ว เจ้าหนี้จึงมีอำนาจฟ้องบังคับให้ชำระหนี้ได้แม้หนี้ยังไม่ถึงกำหนดชำระ
https://www.lawsiam.com/?file=lawyer-exam
"ทำแบบเดิมๆ อ่านแบบเดิมๆ ยังสอบไม่ได้ หรือเกือบได้ ต้องหาวิธีปรับวิธีใหม่"
เจาะหลักกฎหมาย ประเด็นฎีกา : องค์ประกอบความผิด (เตรียมสอบ ผู้ช่วยผู้พิพากษา)
ทบทวนเตรียมสอบ ผู้ช่วยผู้พิพากษา (ปี 2567 -2568)
ถ้าวัตถุแห่งการกระทําคือ
“คน” ไม่ใช่ “ศพ” การกระทําก็ไม่ผิดมาตรา ๑๙๙ และไม่ผิดมาตรา ๓๖๖/๓
ฎีกาที่ ๑๓๒๖๒/๒๕๕๘ วินิจฉัยว่า
การที่จําเลยยกร่างชายที่หมดสติขึ้นรถกระบะแล้วนําฟางมาคลุมร่างกายแล้วจุดไฟเผารถกระบะ
โดยเข้าใจผิดว่าชายนั้นถึงแก่ความตายไปก่อนแล้ว จําเลยไม่ผิดมาตรา ๑๙๙ แม้จะกระทําไปโดยมีเจตนาพิเศษ
เพื่อปกปิดเหตุแห่งการตาย
(ทําไปเพื่อให้คนทั่วไปเข้าใจว่ารถถูกไฟไหม้และไฟคลอกคนในรถตาย)
เหตุผล เพราะ “ขาดองค์ประกอบภายนอก”
เนื่องจาก “วัตถุแห่งการกระทํา” ตามมาตรา ๑๔ คือ “ศพ”
แต่ตามความจริงสิ่งที่ถูกเผาคือ “คน” ไม่ใช่ “ศพ” (ถือ “ความจริง”
เป็นหลักในการวินิจฉัย)
ข้อสังเกต จําเลยก็ไม่ผิดมาตรา ๓๖๖/๓
เพราะไม่ใช่การ “ทําลายศพ” แต่จําเลยผิดมาตรา ๒๑๗ และมาตรา ๒๙๑
คดีนี้ ศาลตัดสินว่าจําเลยผิด มาตรา ๒๑๗
เพราะเป็นรถกระบะของผู้อื่น และผิดมาตรา ๒๙๑ โดยไม่ผิดมาตรา ๒๘๘
โดยศาลฎีกาวินิจฉัยในประเด็นมาตรา ๒๘๘ และมาตรา ๒๙๑ ดังนี้
การที่จําเลยจุดไฟเผารถกระบะคันเกิดเหตุโดยเข้าใจว่าผู้ตายถึงแก่ความตาย
แล้ว เป็นการกระทําโดยมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จึงไม่มี
เจตนาฆ่าผู้ตาย แต่การกระทําของจําเลยหาได้ใช้ความระมัดระวังตรวจดูให้ดีก่อนว่า
ผู้ตายถึงแก่ความตายแล้วหรือไม่ ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นจําเลยจักต้องมีตามวิสัยและ
พฤติการณ์ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ จึงมีความผิดฐาน “กระทําโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย”
ตามมาตรา ๒๙๑
ย่อหลักกฎหมาย
มาตรา ๑๙๙ เป็นกระทําไปโดย "มีเจตนาพิเศษ" เพื่อปกปิดเหตุแห่งการตาย
มาตรา ๓๖๖/๓ “ทําลายศพ”
คำบรรยายเนติ วิชา กฎหมายอาญา ม.๕๙-๑๐๖ อ.เกียรติขจรฯ เล่มที่ ๓ สมัยที่ ๗๗