แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ คำถาม-ธงคำตอบ เนติ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ คำถาม-ธงคำตอบ เนติ แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2561

คำถาม-ธงคำตอบ เนติบัณฑิต (PDF) วิอาญา ข้อ1-10 สมัยที่ 70

คำถาม-ธงคำตอบ เนติบัณฑิต วิอาญา รายข้อ (ข้อ1) ภาค2 สมัยที่ 70
.
คำถาม-ธงคำตอบ เนติบัณฑิต วิอาญา รายข้อ (ข้อ2) ภาค2 สมัยที่ 70
.
คำถาม-ธงคำตอบ เนติบัณฑิต วิอาญา รายข้อ (ข้อ3) ภาค2 สมัยที่ 70

.
คำถาม-ธงคำตอบ เนติบัณฑิต วิอาญา รายข้อ (ข้อ4) ภาค2 สมัยที่ 70
.
คำถาม-ธงคำตอบ เนติบัณฑิต วิอาญา รายข้อ (ข้อ5) ภาค2 สมัยที่ 70
.

คำถาม-ธงคำตอบ เนติบัณฑิต วิอาญา รายข้อ (ข้อ6) ภาค2 สมัยที่ 70
.

คำถาม-ธงคำตอบ เนติบัณฑิต วิอาญา รายข้อ (ข้อ7) ภาค2 สมัยที่ 70
.
คำถาม-ธงคำตอบ เนติบัณฑิต วิอาญา รายข้อ (ข้อ8) ภาค2 สมัยที่ 70
.
คำถาม-ธงคำตอบ เนติบัณฑิต วิอาญา รายข้อ (ข้อ9) ภาค2 สมัยที่ 70
.
คำถาม-ธงคำตอบ เนติบัณฑิต วิอาญา รายข้อ (ข้อ10) ภาค2 สมัยที่ 70

วันพุธที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

คำถาม-ธงคำตอบ เนติ แพ่ง ภาคหนึ่ง สมัยที่ 65

สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา
การสอบข้อเขียนความรู้ชั้นเนติบัณฑิต ภาคหนึ่ง สมัยที่ 65 ปีการศึกษา 2555
วิชากฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ และกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา
วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม 2555
คำถาม 10 ข้อ ให้เวลาตอบ 4 ชั่วโมง (14.00 น. ถึง 18.00 น.) ให้ยกเหตุผลประกอบคำตอบด้วย
---------------------------
ข้อ 1
นายเอกเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมีโฉนดของนายแดงอย่างเป็นเจ้าของมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2545 โดยไม่มีผู้โต้แย้งคัดค้าน ต่อมาเมื่อต้นปี 2550 นายเอกสุขภาพไม่ดี จึงโอนการครอบครองให้นายโทซึ่งเป็นบุตรเข้าครอบครองทำประโยชน์อย่างเป็นเจ้าของสืบต่อมาจนถึงปัจจุบันโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านเช่นกันส่วนนายแดงถึงแก่ความตายและนายดำซึ่งเป็นทายาทของนายแดงให้จดทะเบียนรับมรดกที่ดินพิพาทเมื่อกลางปี 2555 บัดนี้ นายดำต้องการเข้าอยู่อาศัยทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท แต่นายโทไม่ยอมออกโดยอ้างว่า ตนได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ นายดำจึงฟ้องขับไล่โดยอ้างว่า นอกจากนายโทครอบครองที่ดินพิพาทยังไม่ถึง 10 ปี แล้วเมื่อต้นปี 2554 ยังเกิดอุทกภัยเป็นเหตุให้นายโทต้องอพยพออกไปจากที่ดินพิพาทเป็นเวลากว่าครึ่งปี และกลับเข้าครอบครองทำประโยชน์เมื่อเดือนธันวาคม 2554 นายโทจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ อย่างไรก็ตาม เมื่อนายโทยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มาซึ่งที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ นายโทย่อมไม่อาจยกการได้มาดังกล่าวขึ้นเป็นข้อต่อสู้นายดำซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้
ให้วินิจฉัยว่า นายโทได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์แล้วหรือไม่ และจะยกการได้มาดังกล่าวขึ้นเป็นข้อต่อสู้นายดำได้หรือไม่

ธงคำตอบ
แม้ขณะที่นายดำจดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินพิพาทเมื่อกลางปี 2555 นายโทได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเป็นเวลาประมาณ 5 ปี แต่นายโทผู้รับโอนมีสิทธินับเวลาที่นายเอกผู้โอนการครอบครองได้ครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ก่อนรวมเข้ากับเวลาครอบครองของตนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1385 ถือได้ว่านายโทครอบครองที่ดินพิพาทติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี แล้ว ส่วนการเกิดอุทกภัยเมื่อต้นปี 2554 ที่เป็นเหตุให้นายโทต้องอพยพออกไป จากที่ดินพิพาทนั้น ก็เป็นเรื่องที่นายโทผู้ครอบครองต้องขาดการยึดถือที่ดินพิพาทโดยไม่สมัคร แต่หลังจากนั้นเพียงกว่าครึ่ง
ปี นายโทได้กลับเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทอันเป็นการได้คืนภายในหนึ่งปีนับตั้งแต่วันขาดการยึดถือ กรณีจึงอยู่ในบังคับมาตรา 1384 ที่มิให้ถือว่าการครอบครองสะดุดหยุดลง นายโทจึงได้ครอบครองปรปักษ์ ที่ดินพิพาทติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี และได้กรรมสิทธิ์ตามมาตรา 1382 แล้ว
การที่นายดำจดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินพิพาทเมื่อกลางปี 2555 อันเป็นเวลาภายหลังจากที่นายโทได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว นายดำซึ่งได้กรรมสิทธิ์โดยการรับมรดกต้องรับไปทั้งสิทธิตลอดจนความรับผิดต่างๆ จากนายแดงเจ้ามรดก ย่อมมิใช่บุคคลภายนอกตามความหมายในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสองนายโทจึงมีสิทธิยกการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ของตนขึ้นเป็นข้อต่อสู้นายดำได้

ข้อ 2
นายดำซื้อเสื้อจำนวน 100 ตัว ราคาตัวละ 2,000 บาท จากนายแดงเพื่อมาขายในร้านของตน โดยตกลงว่าให้นายแดงส่งมอบเสื้อให้ก่อน 50 ตัว อีก 50 ตัว ที่เหลือให้ส่งมอบภายในวันที่ 1 สิงหาคม 2554 และชำระราคาทั้งหมดในวันเดียวกัน นายแดงส่งมอบเสื้อ 50 ตัว ให้นายดำแล้ว ครั้งถึงวันที่ 1 สิงหาคม 2554 นายแดงนำเสื้ออีก 50 ตัว ไปส่งมอบให้นายดำและขอรับชำระราคาทั้งหมด ปรากฏว่านายดำขายเสื้อได้น้อยทำให้เหลืออยู่จำนวนมาก นายดำจึงปฏิเสธไม่รับเสื้ออีก 50 ตัวที่นายแดงนำมาส่งและบอกสาเหตุให้นายแดงทราบ นายแดงจึงนำเสื้ออีก 50 ตัว ไปวางทรัพย์ไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์ กรมบังคับคดี และเรียกให้นายดำชำระราคา 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2554 จนกว่าจะชำระราคาเสร็จแก่นายแดง นายดำบอกนายแดงว่าจะต้องนำเสื้อ 50 ตัวที่วาง
ทรัพย์ไว้ออกขายโดยนายดำยอมให้ขายในราคาตัวละ 1,500 บาท จะได้เงิน 75,000 บาท นำมาหักออกเสียก่อนและยินดีชำระเงิน 125,000 บาท โดยไม่มีดอกเบี้ยให้แก่นายแดงเท่านั้น
ให้วินิจฉัยว่า นายแดงมีสิทธิเรียกให้นายดำชำระเงินได้จำนวนเท่าใด

ธงคำตอบ
นายแดงส่งมอบเสื้อให้นายดำครบถ้วนโดยนำไปวางทรัพย์ในวันที่ 1 สิงหาคม 2554 ภายในกำหนดเวลาที่ต้องชำระหนี้ นายแดงย่อมมีสิทธิได้รับชำระราคาจากนายดำตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 486 เมื่อนายดำไม่ชำระราคาในวันดังกล่าวอันเป็นกำหนดเวลาตามวันแห่งปฏิทิน จึงตกเป็นผู้ผิดนัดตามมาตรา 204 วรรคสอง นายแดงในฐานะเจ้าหนี้จึงมีสิทธิเรียกให้นายดำชำระราคา และเรียกเอาดอกเบี้ยเนื่องจากการผิดนัดได้ตามมาตรา 213 วรรคหนึ่ง และมาตรา 224 วรรคหนึ่ง การใช้สิทธิเรียกให้ชำระราคาเป็นการเรียกให้ชำระหนี้โดยเฉพาะเจาะจงตามมาตรา 213 วรรคหนึ่ง  ส่วนการเรียกให้ชำระหนี้ดอกเบี้ยในหนี้เงินอันเกิดจากการผิดนัดตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง มิใช่การเรียกเอาค่าสินไหม
ทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากการไม่ชำระหนี้ตามมาตรา 213 วรรคท้าย และมาตรา 215 ที่จะบังคับตามมาตรา 223 วรรคสอง ซึ่งเป็นเรื่องความรับผิดในค่าสินไหมทดแทนที่จะให้นายแดงบรรเทาความเสียหายด้วยการนำเสื้อ 50 ตัว ที่วางทรัพย์ไว้ออกขายแล้วนำเงินมาหักออกตามที่นายดำเสนอ นายแดงจึงมีสิทธิเรียกให้นายดำชำระเงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันผิดนัดจนกว่าจะชำระเสร็จ

ข้อ 3
นายดำลูกจ้างมีหน้าที่ขับรถยนต์รับส่งนายมุ่งมั่นนายจ้างไปทำงาน เลิกงานก็ขับรถส่งนายมุ่งมั่นกลับบ้าน เก็บรถเสร็จก็หมดหน้าที่ ระหว่างรออยู่ที่ทำงานนายมุ่งมั่นสั่งเด็ดขาดห้ามนายดำขับรถไปไหนโดยพลการ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2553 นายดำได้ขับรถส่งนายมุ่งมั่นไปทำงานตามปกติ ขณะรออยู่ในที่ทำงาน นายดำได้แอบขับรถยนต์คันดังกล่าวไปหาเพื่อนสาว ระหว่างทางนายดำได้ขับรถด้วยความประมาทชนรถยนต์ที่นายคมชัดขับ เป็นเหตุให้นายคมชัดถึงแก่ความตายทันที หลังเกิดเหตุ 10 วัน นายถนัด อายุ 18 ปี บุตรนอกกฎหมายที่นายคมชัดได้รับรองโดยพฤตินัยแล้ว ได้ไปเรียกร้องต่อนายดำกับนายมุ่งมั่นให้ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่ทำให้นายคมชัดตาย แต่บุคคลทั้งสองบ่ายเบี่ยงเรื่อยมา ต่อมาศาลพิพากษาลงโทษนายดำในความผิดฐานขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 3 ปี คดีถึงที่สุดเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2553
ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2554 นายถนัดยื่นฟ้องนายดำกับนายมุ่งมั่นดังกล่าวให้ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทน คือค่าใช้จ่ายในการทำศพซึ่งนายจ้างของนายคมชัดได้ช่วยออกให้ทั้งหมดแล้ว กับเรียกค่าขาดไร้อุปการะจนกว่านายถนัดจะบรรลุนิติภาวะ นายดำและนายมุ่งมั่นให้การว่า ไม่ต้องร่วมกันรับผิดตามฟ้อง และคดีขาดอายุความแล้ว
ให้วินิจฉัยว่า  ข้อต่อสู้ของนายดำและนายมุ่งมั่น ฟังขึ้นหรือไม่

ธงคำตอบ
เหตุรถยนต์ชนกัน ที่ทำให้นายคมชัดถึงแก่ความตายถือว่าเกิดจากการกระทำโดยประมาทเลินเล่อของนายดำจึงเป็นการกระทำละเมิดที่นายดำต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 นายถนัด บุตรนอกกฎหมายที่นายคมชัดได้รับรองโดยพฤตินัยแล้ว จึงเป็นผู้สืบสันดานซึ่งมีสิทธิรับมรดกของนายคมชัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1627 นายถนัดย่อมมีอำนาจหน้าที่ในการจัดการทำศพตามมาตรา 1649 วรรคสอง จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าทำศพตามมาตรา 443 ได้ และแม้นายจ้างของนายคมชัดจะได้จ่ายออกค่าทำศพให้ทั้งหมดแล้ว ก็ไม่ตัดสิทธิของนายถนัดที่จะเรียกร้องจากนายดำผู้ทำละเมิดได้ ข้อต่อสู้ของนายดำและนายมุ่งมั่นฟังไม่ขึ้น
แม้นายถนัดจะมีสิทธิได้รับมรดกของนายคมชัดดังกล่าว แต่ไม่มีผลทำให้นายถนัดอยู่ในฐานะบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายคมชัด อันจะก่อให้เกิดสิทธิในค่าขาดไร้อุปการะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1564 การที่นายคมชัดถึงแก่ความตาย ถือไม่ได้ว่านายถนัดต้องขาดไร้อุปการะตามมาตรา 443 วรรคท้าย นายถนัดจึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะ ข้อต่อสู้ของนายดำและนายมุ่งมั่นฟังขึ้น
สำหรับข้อต่อสู้ในเรื่องอายุความกรณีนายดำนั้น แม้ขณะยื่นฟ้องนายดำ นายถนัดจะรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวนายดำผู้พึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเกินกว่า 1 ปี อันเป็นกำหนดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่ง แต่เมื่อมีการฟ้องคดีอาญาแก่นายดำ กรณีกระทำละเมิดและศาลพิพากษาถึงที่สุดลงโทษนายดำแล้วก่อนนายถนัดฟ้องคดีแพ่ง อายุความฟ้องร้องคดีแพ่งจึงมีกำหนดสิบปีนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคสาม ประกอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/32 คดีฟ้องนายดำจึงไม่ขาดอายุความ ข้อต่อสู้ของนายดำฟังไม่ขึ้น
แต่ในกรณีฟ้องของนายมุ่งมั่น ขณะยื่นฟ้องเป็นเวลาเกินกว่าหนึ่งปี นับแต่วันที่รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน คดีจึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่ง เพราะอายุความที่ยาวกว่าตามมาตรา 448 วรรคสอง นั้น ใช้เฉพาะการเรียกร้องจากตัวผู้กระทำผิดหรือร่วมในการกระทำผิดอาญาเท่านั้น ไม่ใช้สำหรับการฟ้องนายจ้างให้รับผิดในการกระทำละเมิดของลูกจ้าง อันเป็นความผิดอาญาด้วยอีกชั้นหนึ่งข้อต่อสู้ของนายมุ่งมั่น จึงฟังขึ้น

ข้อ 4 
นายสดทำหนังสือสัญญาเช่าที่ดินแปลงหนึ่งจากนายรวยมีกำหนดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2551 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2553 แล้วนายสดปลูกบ้านหลังหนึ่งอยู่อาศัยในที่ดินนั้น ต่อมานายสดทำหนังสือสัญญาที่บ้านของตนตกลงขายบ้านหลังนี้ให้แก่นายใสเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย กำหนดไถ่ทรัพย์คืนในหนึ่งปี โดยนายสดยังคงพักอาศัยในบ้านที่ขายฝากตลอดมาจนครบกำหนดหนึ่งปี นายสดไม่ไถ่คืน และสัญญาเช่าที่ดินระหว่างนายสดกับนายรวยครบกำหนดแล้วด้วย นายใสได้ขอเช่าที่ดินดังกล่าวกับนายรวย มีการทำหนังสือสัญญาให้นายใสเช่าที่ดินมีกำหนดห้าปี จดทะเบียนการเช่าต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยถูกต้องจากนั้นนายรวยขอให้นายใสขนย้ายไปอยู่ที่อื่น แต่นายสดเพิกเฉย นายใสจึงฟ้องคดีต่อศาล อ้างว่า
(1) นายใสเป็นเจ้าของบ้านที่รับซื้อฝากแล้ว ขอให้ขับไล่นายสดไปจากบ้าน
(2) นายใสเป็นผู้เช่าที่ดินจากนายรวยโดยชอบ สัญญาเช่าที่ดินระหว่างนายสดกับนายรวยระงับลงแล้ว นายสดอยู่ในที่ดินโดยละเมิดสิทธิของนายใส ขอให้ขับไล่นายสดออกไปจากที่ดิน
ให้วินิจฉัยว่า นายใสจะฟ้องขับไล่นายสดออกไปจากบ้านและที่ดินโดยอาศัยข้ออ้างทั้งสองประการได้หรือไม่

ธงคำตอบ
นายสดทำหนังสือสัญญาขายฝากบ้านให้แก่นายใสเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย จึงเป็นการซื้อขายในลักษณะเป็นอสังหาริมทรัพย์ เมื่อไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยมาตรา 491 นายใสผู้ซื้อจึงไม่ได้เป็นเจ้าของบ้านที่รับซื้อฝากและไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่นายสดออกจากบ้านพิพาทได้
นายใสทำหนังสือสัญญาเช่าที่ดินปลูกสร้างบ้านกับนายรวยโดยจดทะเบียนการเช่าถูกต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 แต่นายใสไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินตามสัญญาเช่า ส่วนนายสดอยู่ในที่ดินดังกล่าวมาก่อนโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าเดิม แม้สัญญาเช่าที่ดินระหว่างนายสดกับนายรวยระงับไปเพราะสิ้นกำหนดเวลาแล้ว และนายสดอยู่ต่อมาโดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ถือว่าเป็นการละเมิดต่อนายรวยเจ้าของที่ดิน มิใช่การละเมิดต่อนายใสซึ่งเป็นผู้เช่ารายใหม่ นายใสจึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่นายสดออกจากที่ดินพิพาทเช่นกัน
ดังนั้น นายใสจะฟ้องขับไล่นายสดออกไปจากบ้านและที่ดินพิพาทโดยอาศัยข้ออ้างทั้งสองประการไม่ได้(เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 810/2546)

ข้อ 5
นายขาวทำสัญญากู้ยืมเงิน 100,000 บาท จากนายดำ ตกลงให้คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี นายดำบอกให้นายขาวลงชื่อในสัญญากู้ยืมเงินที่ยังไม่มีการกรอกข้อความใดๆ โดยอ้างว่ายังยุ่งอยู่ นายขาวยินยอมเนื่องจากต้องการเงินมีนายเขียวผู้ค้ำประกันตกลงยินยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ต่อมานายดำได้กรอกจำนวนเงินในสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าว 100,000 บาท และกรอกว่านายขายยอมให้คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี เมื่อครบกำหนดนายขาวไม่มีเงินชำระจึงโอนกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ตีราคาตามท้องตลาด ซึ่งมีมูลค่าชำระหนี้ต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี พอดีให้แก่นายดำ แต่นายดำกลับนำสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวมาฟ้องให้นายขาวผู้กู้และนายเขียวผู้ค้ำประกันรับผิดชำระทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย โดยอ้างว่านับแต่ทำสัญญานายขาวไม่เคยชำระหนี้แก่นายดำเลย นายขาวและนายเขียวให้การและฟ้องแย้งว่าสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้องเป็นสัญญาปลอม เพราะขณะที่นายขาวลงชื่อสัญญาดังกล่าวยังไม่มีข้อความใดๆ และนายขาวชำระหนี้ทั้งหมดไปแล้ว นอกจากนี้นายดำยังคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด แต่นายขาวเป็นเพียงชาวบ้านไม่ทราบกฎหมายและได้ชำระไป ขอให้ยกฟ้องของนายดำ และขอให้นายดำคืนราคารถยนต์ส่วนที่เป็นค่าดอกเบี้ยที่ชำระไปแล้วทั้งหมด เพราะข้อตกลงให้คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี เป็นโมฆะ
ให้วินิจฉัยว่า นายขาวและนายเขียวต้องรับผิดต่อนายดำตามฟ้องหรือไม่ เพียงใด และนายขาวสามารถเรียกคืนค่าดอกเบี้ยที่ชำระไปแล้วทั้งหมดตามฟ้องแย้งได้หรือไม่

ธงคำตอบ
สำหรับนายขาวนั้ แม้ขณะทำสัญญากู้ยืมเงินไม่มีการกรอกข้อความในสัญญา แต่เมื่อนายขาวกู้ยืมเงินจากนายดำจริง และนายดำก็กรอกจำนวนเงินตามที่มีการกู้ยืมเงินกันจริง การกรอกข้อความหลังจากที่นายขาวลงลายมือชื่อในสัญญากู้ยืมเงินแล้วไม่ทำให้สัญญาดังกล่าวเป็นเอกสารปลอม จึงเป็นการกู้ยืมเงินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อนายขาวผู้ยืมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่ง นายขาวจึงต้องรับผิดชำระหนี้เงินกู้จำนวนดังกล่าว (คำพิพากษาฎีกาที่ 5685/2548) แต่การที่ในสัญญาระบุให้คิดดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดนั้น ดอกเบี้ยตกเป็นโมฆะ ตามมาตรา 654 ตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3 ส่วนหนี้ต้นเงินยังสมบูรณ์  (คำ
พิพากษาฎีกาที่ 1913/2537) เมื่อนายขาวชำระหนี้ดังกล่าวด้วยการโอนรถยนต์ให้แก่นายดำอันเป็นการชำระหนี้อย่างอื่นตามมาตรา 321 มิใช่กรณีตามมาตรา 653 วรรคสอง แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ให้กู้ยืมก็รับฟังว่าชำระหนี้แล้วได้ (คำพิพากษาฎีกาที่ 1178/2510) และหนี้นั้นย่อมเป็นอันระงับ นายดำไม่มีสิทธิเรียกให้นายขาวชำระหนี้ และ
นายเขียวผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดเนื่องจากหนี้ที่ตนค้ำประกันระงับแล้ว
ส่วนฟ้องแย้งของนายขาวนั้น เมื่อหนี้ค่าดอกเบี้ยที่นายขาวชำระหนี้ไปแล้วทั้งหมดเป็นการคิดเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดซึ่งตกเป็นโมฆะ จึงถือได้ว่าเป็นการชำระหนี้ตามอำเภอใจหรือชำระด้วยความสมัครใจโดยรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีความผูกพันที่จะต้องชำระตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 407 จึงไม่มีสิทธิเรียกคืน (คำพิพากษาฎีกาที่ 6223/2544, 1759/2545) นายขาวจึงไม่สามารถเรียกคืนค่าดอกเบี้ยกรณีที่ได้ชำระไปแล้วทั้งหมดตามฟ้องแย้งได้

ข้อ 6 
นายดินออกเช็คชนิดผู้ถือลงวันที่ล่วงหน้ารวม 2 ฉบับ จำนวนเงินฉบับละ 50,000 บาท ชำระหนี้ค่าสินค้าแก่นายน้ำ ฉบับแรกลงวันที่ 9 พฤษภาคม 2555 ฉบับที่สองลงวันที่ 12 มิถุนายน 2555 นายน้ำนำเช็คทั้งสองฉบับไปแลกเงินสดจากนายลมโดยลงลายมือชื่อไว้ที่ด้านหน้าเช็คทั้งสองฉบับ เมื่อฉบับแรกถึงกำหนด นายลมนำเช็คไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารตามเช็ค ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินอ้างว่า บัญชีปิดแล้ว นายลมทวงถาม นายน้ำยอมใช้เงินตามเช็คเฉพาะฉบับแรกต่อมาเมื่อเช็คฉบับที่สองถึงกำหนด นายลมจึงฟ้องนายดินและนายน้ำให้ร่วมกันรับผิดใช้เงินตามเช็คฉบับที่สองโดยมิได้นำเช็คไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารตามเช็คก่อนฟ้อง นายดินให้การต่อสู้ว่า นายลมยังมิได้นำเช็คไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารตามเช็คก่อนฟ้อง จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ส่วนนายน้ำให้การต่อสู้ว่า นายน้ำลงลายมือชื่อที่ด้านหน้าเช็คโดยไม่มีข้อความระบุว่าใช้ได้เป็นอาวัล จึงไม่ต้องรับผิดตามเช็ค
ให้วินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ของนายดินและนายน้ำ ฟังขึ้นหรือไม่

ธงคำตอบ
ในกรณีฟ้องเรียกเงินตามเช็ค เมื่อบัญชีของผู้สั่งจ่ายได้ปิดไปก่อนที่จะนำเช็คฉบับแรกไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารแม้นายลมจะนำเช็คฉบับที่สองไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร ธนาคารก็จะปฏิเสธการจ่ายเงินเพราะบัญชีเงินฝากของนายดินที่ธนาคารถูกปิดแล้วตั้งแต่ก่อนเช็คฉบับแรกถึงกำหนด ย่อมแสดงได้ว่าธนาคารตามเช็คได้งดเว้นการใช้เงินตามเช็คของนายดินแล้ว นายลมจึงฟ้องบังคับให้นายดินและนายน้ำชำระเงินตามเช็คได้ โดยไม่จำต้องนำเช็คไปยื่นเพื่อให้ธนาคารเรียกเก็บเงินก่อนฟ้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 959 (ข) (2), 989  (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 1865/2517,
755/2526, 3971/2526 และ 1494/2529) นายลมจึงมีอำนาจฟ้อง ข้อต่อสู้ของนายดินฟังไม่ขึ้น
การที่นายน้ำลงลายมือชื่อในด้านหน้าแห่งเช็คก็จัดว่าเป็นคำรับอาวัลแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 939 วรรคสาม ประกอบมาตรา 989 เป็นการอาวัลตามผลของกฎหมาย มิใช่การรับอาวัลตามมาตรา 939 วรรคสองจึงไม่ต้องมีการเขียนข้อความว่าใช้ได้เป็นอาวัลอีก ข้อต่อสู้ของนายน้ำฟังไม่ขึ้น

ข้อ 7 
ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลสามสหาย มีนายหนึ่ง นายสอง และนายสามเป็นผู้เป็นหุ้นส่วน ห้างฯ ตั้งขึ้นเพื่อมีวัตถุประสงค์ค้าอาหาร หลังจากดำเนินการไปแล้วเป็นเวลา 1 ปี ห้างฯ เป็นหนี้นายวิชัยค่าซื้อไก่สดจำนวน 100,000 บาท และเป็นหนี้เงินกู้นายสมโชคอีกจำนวน 1,000,000 บาท ในการกู้ยืมเงินนี้ นายหนึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนและนายสมโชคเจ้าหนี้ได้ตกลงกันว่า หากห้างฯ ยังไม่ได้ชำระหนี้เงินกู้ให้นายสมโชค แม้นายหนึ่งจะได้ออกจากห้างฯ ไปแล้วก็ตาม แต่นายหนึ่งยังต้องร่วมรับผิดในหนี้เงินกู้ดังกล่าวต่อไปอีกเป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ได้ออกจากห้างฯ ต่อมานายหนึ่งได้ขายส่วนหุ้นลงทุนให้แก่นายสี่โดยได้ลงนามในสัญญาขายส่วนลงหุ้นในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 ได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้เป็นหุ้นส่วนต่อ
กระทรวงพาณิชย์ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2552 และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเปลี่ยนแปลงชื่อผู้เป็นหุ้นส่วนแล้วในวันที่ 1 มีนาคม 2553
ต่อมาห้างฯ ผิดนัดชำระหนี้ นายวิชัยและนายสมโชคจึงนำคดีมาฟ้องในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2555 ให้นายหนึ่งรับผิดในหนี้ค้างชำระ นายหนึ่งต่อสู้ว่า ไม่ต้องรับผิดต่อนายวิชัยเพราะนายหนึ่งได้ออกจากห้างฯ ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2552 จึงไม่ต้องรับผิดในหนี้ของห้างฯ อีก และต่อสู้นายสมโชคว่า ข้อตกลงว่าแม้นายหนึ่งได้ออกจากห้างฯ ไปแล้วนายหนึ่งยังคงต้องร่วมรับผิดในหนี้เงินกู้ต่อไปอีกเป็นเวลา 5 ปี เป็นข้อตกลงขยายอายุความจึงตกเป็นโมฆะ
ให้วินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ของนายหนึ่งต่อนายวิชัยและนายสมโชครับฟังได้หรือไม่

ธงคำตอบ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1068 บัญญัติว่า "ความรับผิดของผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน อันเกี่ยวแก่หนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนออกจากห้างหุ้นส่วนนั้น ย่อมมีจำกัดเพียงสองปีนับแต่เมื่อออกจากหุ้นส่วน” กำหนดนับสองปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1068 หมายถึงนับจากวันที่ได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อผู้เป็นหุ้นส่วนต่อกระทรวงพาณิชย์ ไม่ใช่วันทำสัญญาออกจากห้างหุ้นส่วน และไม่ใช่วันที่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา (คำพิพากษาฎีกาที่ 5011/2547) การที่นายหนึ่งได้ออกจากห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลสามสหาย โดยขายส่วนลงหุ้นให้แก่นายสี่ และจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้เป็นหุ้นส่วนในวันที่ 1 กรกฎาคม 2552 เมื่อนายวิชัยเจ้าหนี้มาฟ้อง
เรียกให้นายหนึ่งรับผิดในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2555 จึงเกินกำหนดระยะเวลาสองปี นับแต่วันที่จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อผู้เป็นหุ้นส่วนต่อกระทรวงพาณิชย์ ตามมาตรา 1068 แล้ว นายหนึ่งจึงไม่ต้องรับผิดต่อนายวิชัย ข้อต่อสู้ของนายหนึ่งต่อ
นายวิชัยจึงรับฟังได้
บทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1068 มิใช่เป็นเรื่องอายุความและไม่ใช่บทบัญญัติเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน คู่กรณีจึงอาจตกลงเป็นอย่างอื่นได้ (คำพิพากษาฎีกาที่ 2613/2523) เมื่อมีข้อตกลงระหว่างนายหนึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนกับนายสมโชคว่า แม้นายหนึ่งจะได้ออกจากห้างฯ ไปแล้ว นายหนึ่งยังคงรับผิดในหนี้ของห้างฯ ต่อไปอีก 5 ปี ข้อตกลงดังกล่าวจึงใช้บังคับได้ระหว่างผู้ตกลง เมื่อนายสมโชคเจ้าหนี้มาฟ้องเรียกให้นายหนึ่งรับผิดในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2555 ซึ่งยังอยู่ภายในกำหนดเวลาห้าปี นายหนึ่งจึงไม่อาจยกขึ้นต่อสู้กับนายสมโชคได้ ข้อต่อสู้ของนายหนึ่งต่อนายสมโชคจึงรับฟังไม่ได้

ข้อ 8
นายเดือนกับนางจันทร์จดทะเบียนสมรสกันในขณะที่แต่ละคนมีอายุ 15 ปี โดยได้รับความยินยอมจากบิดามารดาฝ่ายของตนแล้ว เมื่อนางจันทร์มีอายุเกือบ 17 ปี ก็มีครรภ์และคลอดบุตรคนแรก คือ นายดำ แล้วมีบุตรอีก 2 คน คือ นายเหลืองและนายเขียว ต่อมานายดำมีนายสมเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย และนายเหลืองมีนายสีเป็นบุตรบุญธรรมเมื่อนายเดือนตาย นายเดือนมีทรัพย์มรดก 300,000 บาท หากปรากฏว่านายเขียวและบิดามารดาของนายเดือนตายก่อน นายเดือน และก่อนที่นายเดือนตาย นายดำได้ปลอมพินัยกรรมว่านายเดือนทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกให้แก่นายดำทั้งหมด ส่วนนายเหลืองสละมรดกโดยชอบ
ให้วินิจฉัยว่า บุคคลใดบ้างมีสิทธิรับทรัพย์มรดกของนายเดือน และได้รับคนละเท่าใด

ธงคำตอบ
นายเดือนกับนางจันทร์จดทะเบียนสมรสกันในขณะที่แต่ละคนมีอายุ 15 ปี แม้จะได้รับความยินยอมจากบิดามารดาฝ่ายของตนแล้วก็ตาม ก็เป็นการฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1448 เพราะการสมรสจะทำได้เมื่อชายและหญิงต้องมีอายุ 17 ปีบริบูรณ์แล้ว การสมรสจึงตกเป็นโมฆียะ ตามมาตรา 1503 แต่เมื่อศาลยังมิได้สั่งให้เพิกถอนการสมรส จนนางจันทร์มีครรภ์ก่อนอายุครบ 17 ปีบริบูรณ์ การสมรสจึงสมบูรณ์มาตั้งแต่เวลาสมรสตามมาตรา 1504 วรรคสอง
ทายาทโดยธรรมของนายเดือนได้แก่ นายดำ นายเหลือง ผู้สืบสันดานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 (1) และนางจันทร์คู่สมรสตามมาตรา 1629 วรรคสอง เท่านั้น ส่วนนายเขียวกับบิดามารดาของนายเดือนตายก่อนนายเดือน ย่อมไม่มีสภาพบุคคลที่จะรับมรดกได้ตามมาตรา 1604 วรรคหนึ่ง นายดำ นายเหลือง และนางจันทร์จึงมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งมรดกคนละส่วนเท่ากันตามมาตรา 1635 (1)
นายดำปลอมพินัยกรรมของนายเดือน นายดำจึงถูกกำจัดมิให้รับมรดก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1606 (5) ซึ่งเป็นกรณีที่เกิดก่อนนายเดือนตาย นายสมบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายดำและเป็นผู้สืบสันดานโดยตรง จึงรับมรดกแทนที่นายดำได้ ตามมาตรา 1639 และมาตรา 1643
นายเหลืองสละมรดกของนายเดือน นายสีเป็นบุตรบุญธรรมของนายเหลืองถือว่าเป็นผู้สืบสันดานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1627 ย่อมสืบมรดกได้ตามสิทธิของนายเหลืองตามมาตรา 1615 วรรคสอง
ดังนั้น ผู้ที่มีสิทธิรับทรัพย์มรดกของนายเดือนจึงได้แก่ นางจันทร์ นายสมตามส่วนของนายดำ และนายสีตามส่วนของนายเหลืองคนละ 100,000 บาท

ข้อ 9
  บริษัทกิฟท์ จำกัด สั่งซื้อเข็มกลัดโลหะจำนวน 100,000 ชิ้น ราคาชิ้นละ 100 บาท จากบริษัทมอนโร จำกัดประเทศฝรั่งเศส บริษัทมอนโร จำกัด ส่งสินค้าดังกล่าวโดยบรรจุเข็มกลัดลงในกล่องจำนวน 100 กล่อง และว่าจ้างให้บริษัทชิปเมนต์ จำกัด เป็นผู้ขนส่งจากท่าเรือต้นทางมาท่าเรือปลายทางที่ประเทศไทย โดยมีเงื่อนไขการขนส่งเป็นแบบซีเอฟเอส/ซีเอฟเอส และในใบตราส่งระบุเข็มกลัดโลหะบรรจุกล่องจำนวน 100 กล่อง บรรจุในตู้สินค้า มีบริษัทกิฟท์ จำกัดเป็นผู้รับตราส่ง เมื่อเรือสินค้าของบริษัทชิปเมนต์ จำกัด มาถึงท่าเรือกรุงเทพ บริษัททำแทน จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนบริษัทชิปเมนต์ จำกัด ในประเทศไทย ได้ว่าจ้างบริษัทเอ็มเอ็ม จำกัด ขนถ่ายเข็มกลัดโลหะขึ้นจากเรือ เพื่อส่งมอบให้แก่
บริษัทกิฟท์ จำกัด ผู้รับตราส่ง ปรากฏว่า กล่องที่บรรจุสินค้าเปียกน้ำเปื่อยยุ่ย 5 กล่อง เข็มกลัดโลหะขึ้นสนิมใช้การไม่ได้ทั้ง 5 กล่อง สาเหตุเกิดจากตู้สินค้าที่บรรจุกล่องเข็มกลัดโลหะมีรูรั่วที่หลังคา น้ำฝนไหลเข้าตู้สินค้าผ่านทางรูรั่ว และรูรั่วมีขนาดใหญ่มองเห็นได้ชัดเจนด้วยตาเปล่า บริษัทกิฟท์ จำกัด ผู้รับตราส่ง เรียกร้องให้บริษัทชิปเมนต์ จำกัด บริษัททำแทน จำกัด และบริษัทเอ็มเอ็ม จำกัด ร่วมกันรับผิดในความเสียหายทั้งหมดของเข็มกลัดโลหะจำนวน 5 กล่อง เป็นเงิน 500,000 บาท
ให้วินิจฉัยว่า  บริษัทชิปเมนต์ จำกัด บริษัททำแทน จำกัด และบริษัทเอ็มเอ็ม จำกัด จะต้องรับผิดต่อ
บริษัทกิฟท์ จำกัด หรือไม่ เพียงใด

ธงคำตอบ
การที่เข็มกลัดโลหะเสียหายเนื่องจากน้ำฝนไหลเข้าตู้สินค้าผ่านทางรูรั่วที่หลังคาตู้สินค้าทำให้เข็มกลัดโลหะขึ้นสนิมใช้การไม่ได้ เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นในระหว่างที่เข็มกลัดโลหะอยู่ในความดูแลของบริษัทชิปเมนต์ จำกัด ผู้ขนส่งบริษัทชิปเมนต์ จำกัด จึงต้องรับผิดเพื่อความเสียหายของสินค้าดังกล่าวตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล
พ.ศ. 2534 มาตรา 39
การขนส่งเข็มกลัดโลหะมีเงื่อนไขการขนส่งเป็นแบบซีเอฟเอส/ซีเอฟเอส ซึ่งผู้ขนส่งเป็นผู้รับสินค้าจากผู้ส่งทำการตรวจนับและบรรจุสินค้าเข้าตู้ที่ท่าเรือต้นทาง ผู้ขนส่งต้องตรวจสอบตู้สินค้าว่าอยู่ในสภาพเรียบร้อยเหมาะสมกับสินค้าที่ใช้บรรจุแล้วและเมื่อขนสินค้าไปถึงท่าเรือปลายทาง ผู้ขนส่งจะเป็นผู้เปิดตู้เพื่อทำการขนถ่ายสินค้าออกจากตู้เพื่อเตรียมส่งมอบแก่ผู้รับตราส่ง การที่เข็มกลัดโลหะขึ้นสนิมใช้การไม่ได้เกิดจากการที่หลังคาตู้ที่ใช้บรรจุสินค้ามีรูรั่วขนาดใหญ่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หากได้มีการตรวจสอบสภาพตู้สินค้าก่อนนำมาบรรจุสินค้าย่อมพบรูรั่วนี้ได้โดยง่าย การที่ผู้ขนส่งไม่ได้
จัดเตรียมตู้สินค้าให้ดีเหมาะสมกับสภาพสินค้าที่รับขน แต่กลับนำตู้สินค้าที่ชำรุดมีรูรั่วมาใช้บรรจุสินค้า เป็นความบกพร่องของผู้ขนส่งที่ละเลยไม่เอาใจใส่ ทั้งที่รู้ว่าอาจเกิดความเสียหายกับสินค้าที่บรรจุภายในตู้นั้นได้ ตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 มาตรา 60 (1) บริษัทชิปเมนต์ จำกัด ผู้ขนส่งจึงต้องรับผิดในความเสียหายของเข็มกลัดโลหะต่อบริษัทกิฟท์ จำกัด ผู้รับตราส่งเต็มตามจำนวนที่เรียกร้อง ไม่อาจอ้างข้อจำกัดความรับผิดของผู้ขนส่งตามมาตรา 58 มาเป็นประโยชน์แก่ตนได้ (คำพิพากษาฎีกาที่ 1273/2554)
สำหรับบริษัททำแทน จำกัด ไม่ได้รับมอบหมายจากบริษัทชิปเมนต์ จำกัด ผู้ขนส่งให้ทำการขนส่งของตามสัญญารับขนของทางทะเล แต่เป็นเพียงตัวแทนผู้ขนส่งในการติดต่อว่าจ้าง บริษัทเอ็มเอ็ม จำกัด ให้ขนถ่ายเข็มกลัดโลหะเพื่อส่งมอบแก่บริษัทกิฟท์ จำกัด ผู้รับตราส่ง เพื่อให้การรับขนของผู้ขนส่งตัวการสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี บริษัททำแทน จำกัดจึงไม่ใช่ผู้ขนส่งอื่นตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 มาตรา 3 ไม่ต้องรับผิดต่อบริษัทกิฟท์ จำกัด (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 4277/2540)
ส่วนบริษัทเอ็มเอ็ม จำกัด เป็นเพียงผู้ขนถ่ายสินค้าขึ้นจากเรือ เพื่อส่งมอบให้แก่ผู้รับตราส่ง ไม่ได้รับมอบหมายให้ทำการขนส่งของตามสัญญารับขนของทางทะเล จึงไม่ใช่ผู้ขนส่งอื่นตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 มาตรา 3 ไม่ต้องรับผิดต่อบริษัทกิฟท์ จำกัด (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 3879/2525)

ข้อ 10
นายปานผลิตแชมพูสมุนไพรที่มีส่วนผสมของดอกไม้ต่างๆ รวมทั้งดอกอัญชันออกจำหน่าย โดยใช้
เครื่องหมายการค้าว่า “ปานแก้ว” ซึ่งได้รับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าสำหรับใช้กับสินค้าแชมพูสระผม นายไฝ เจ้าของร้านสะดวกซื้อรับสินค้าแชมพูสระผมของนายปานมาจำหน่ายในร้าน ปรากฏว่าสินค้าดังกล่าวขายดีและเป็นที่รู้จักของลูกค้าพอสมควร ต่อมานายไฝ จึงผลิตน้ำสมุนไพรและขนมชั้นที่มีส่วนผสมของดอกอัญชันมาวางจำหน่ายในร้านของตนโดยใช้เครื่องหมายการค้าว่า “ปานแก้ว” ที่มีลักษณะของเครื่องหมายเหมือนกับเครื่องหมายการค้าของนายปาน และจัดโต๊ะตั้งสินค้าของตนรวมอยู่ในพื้นที่เดียวกันและติดกันกับที่วางจำหน่ายสินค้าแชมพูสระผมของนายปาน ปรากฏว่าลูกค้าที่มาซื้อแชมพูสระผมของนายปานก็ซื้อสมุนไพรและขนมชั้นของนายไฝไปด้วยเป็นจำนวนมากเช่นกัน
ให้วินิจฉัยว่า นายปานจะฟ้องนายไฝขอบังคับให้ห้ามนายไฝกระทำละเมิด และเรียกค่าสินไหมทดแทนจากนายไฝตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 ได้หรือไม่

ธงคำตอบ
ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 44  ผู้ซึ่งได้จดทะเบียนเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าเป็นผู้มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในอันที่จะใช้เครื่องหมายการค้านั้นสำหรับสินค้าที่ได้จดทะเบียนไว้เท่านั้น ดังนี้ เมื่อนายปานจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าคำว่า “ปานแก้ว” ไว้สำหรับใช้กับสินค้าแชมพูสระผม ย่อมมีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในอันที่จะใช้เครื่องหมายการค้านี้สำหรับสินค้าแชมพูสระผมเท่านั้น การที่นายไฝใช้เครื่องหมายการค้าว่า “ปานแก้ว” เช่นเดียวกับนายปาน แต่ใช้กับสินค้าน้ำสมุนไพรและขนมชั้น อันเป็นสินค้าคนละจำพวกแตกต่างกับสินค้าแชมพูสระผม ซึ่งนายปานไม่ใช่ผู้มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในอันที่จะใช้เครื่องหมายการค้าว่า “ปานแก้ว” สำหรับสินค้าน้ำสมุนไพรและขนมชั้น การที่นายไฝใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวกับสินค้าน้ำสมุนไพรและขนมชั้น ย่อมไม่เป็นการละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของนายปานตามมาตรา 44 ดังกล่าว และถือว่าสำหรับสินค้าน้ำสมุนไพรและขนมชั้นนั้น นายปานไม่อยู่ในฐานะเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ได้จดทะเบียนไว้แล้วสำหรับสินค้าดังกล่าว จึงไม่มีสิทธิฟ้องเพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าที่ยังไม่ได้จดทะเบียนหรือเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิดสิทธินั้นได้ ตามมาตรา 46 วรรคหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 46 วรรคสอง บัญญัติว่า “บทบัญญัติมาตรานี้ไม่กระทบกระเทือนสิทธิของเจ้าของเครื่องหมายการค้าที่ไม่ได้จดทะเบียน ในอันที่จะฟ้องคดีบุคคลอื่นซึ่งเอาสินค้าของตนไปลวงขายว่าเป็นสินค้าของเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้น” และการกระทำของนายไฝที่นำสินค้าน้ำสมุนไพรและขนมชั้นซึ่งใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า “ปานแก้ว” เหมือนกับของนายปานและวางจำหน่ายรวมอยู่ในพื้นที่เดียวกันและติดกันกับที่วางจำหน่ายแชมพูสระผมสมุนไพรของนายปาน ย่อมเป็นการทำให้ผู้มาซื้อสินค้าแชมพูสระผมของนายปานเพราะนิยมในสินค้า
แชมพูสระผมที่มีส่วนผสมของสมุนไพรของนายปาน คิดว่าน้ำสมุนไพรและขนมชั้นที่มีส่วนผสมของดอกอัญชันที่ใช้เครื่องหมายการค้าเดียวกันและอยู่ติดกันเป็นสินค้าของนายปาน อันเป็นการกระทำเพื่อลวงผู้ซื้อเข้าใจผิดในความเป็นเจ้าของของสินค้า โดยไม่จำกัดว่าสินค้าที่ทำขึ้นจะต้องเป็นสินค้าชนิดเดียวกันหรือประเภทเดียวกันเท่านั้น เนื่องจากการลวงขายนอกจากจะเป็นการลวงในวัตถุแล้ว ยังรวมถึงการลวงในความเป็นเจ้าของสินค้าด้วย การกระทำของนายไฝจึงเป็นการละเมิดด้วยการลวงขายสินค้า นายปานจึงมีสิทธิฟ้องห้ามนายไฝกระทำละเมิดด้วยการลวงขายดังกล่าว และเรียกค่าสินไหมทดแทนได้ ตามมาตรา 46 วรรคสอง