ไล่สาย ขั้นเทพ ถาม-ตอบ ตามแนวฎีกา ข้อ1 วิ.อาญา ภาค1 (ข้อ1)
(ผู้ช่วยผู้พิพากษา สนามเล็ก) ชุดที่1
สอบ ประมาณ มี.ค ปี 2568
https://www.lawsiam.com/?name=Judge-Exam&file=filedetail&max=1235
สรุปย่อ เจาะหลักกฎหมาย ฏีกาเก็ง ฎีกาเด่น เน้นประเด็น เตรียมสอบ 3 สนาม อัพเดท
ไล่สาย ขั้นเทพ ถาม-ตอบ ตามแนวฎีกา ข้อ1 วิ.อาญา ภาค1 (ข้อ1)
(ผู้ช่วยผู้พิพากษา สนามเล็ก) ชุดที่1
สอบ ประมาณ มี.ค ปี 2568
https://www.lawsiam.com/?name=Judge-Exam&file=filedetail&max=1235
ไล่สาย ขั้นเทพ ถาม-ตอบ ตามแนวฎีกา ข้อ1 วิ.อาญา ภาค1
เตรียมสอบเนติบัณฑิต ภาค 2 สมัยที่ 77 (ชุดที่1)
ไล่สาย ขั้นเทพ ถาม-ตอบ ตามแนวฎีกา ข้อ10
พระธรรมนูญศาลยุติธรรม เตรียมสอบเนติบัณฑิต ภาค 2 สมัยที่ 77
https://www.lawsiam.com/?name=download&file=filedetail&max=6261
ไล่สาย ขั้นเทพ ถาม-ตอบ ตามแนวฎีกา ข้อ5 วิ.แพ่ง ภาค3
เตรียมสอบเนติบัณฑิต ภาค 2 สมัยที่ 77 (ชุดที่1)
https://www.lawsiam.com/?name=download&file=filedetail&max=6262
แนวข้อสอบอัยการผู้ช่วย
ใกล้เคียงกับ วิชากฎหมายอาญา ข้อ ๑ เนติฯ (ข้อสอบ อาญา เนติ ๒๕๔๓)
คำถามที่เคยออกเป็นข้อสอบสมัย
๕๓ ปีการศึกษา ๒๕๔๓
ถามว่า
นางเดือนคนไทยเป็นนายหน้าหาหญิงไปค้าประเวณี ได้ไปที่ประเทศมาเลเซียและชักชวน
นางดาวคนมาเลเซียไปค้าประเวณีที่ประเทศญี่ปุ่น โดยนางเดือนเป็นธุระจัดการในเรื่อง การเดินทาง
นางดาวตกลงเต็มใจไปด้วย นางเดือนพานางดาวเดินทางจากประเทศมาเลเซีย ไปส่งให้สถานค้าประเวณีที่ประเทศญี่ปุ่น
นางเดือนได้รับค่าใช้จ่ายในการเดินทางคืนกับได้ ค่านายหน้าอีกจำนวนหนึ่งเป็นของตน
นางดาวค้าประเวณีที่ประเทศญี่ปุ่นได้วันเดียวก็ถูกตํารวจจับ
แต่นางเดือนหนีกลับประเทศไทยได้ ทางการประเทศญี่ปุ่นแจ้งให้ตํารวจไทยทราบ
การกระทําของนางเดือนเป็นความผิดฐานเป็นธุระจัดหาหรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งชายหรือหญิงเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๒๘๒ ต่อมา นางเดือนถูกจับได้ในประเทศไทย
พนักงานอัยการฟ้องนางเดือนต่อศาลอาญาขอให้ลงโทษในความผิดฐานดังกล่าว
ให้วินิจฉัยว่า
นางเดือนจะถูกลงโทษในราชอาณาจักรได้หรือไม่
ตามคำถาม
เป็นการกระทําความผิดเกี่ยวกับเพศ ซึ่งตามมาตรา ๗ และมาตรา ๘
ต่างระบุความผิดเกี่ยวกับเพศไว้ แต่ฐานความผิดที่ระบุไว้เป็นคนละฐานกัน มาตรา ๘
(๓) เป็นความผิดเกี่ยวกับเพศตามมาตรา ๒๗๖ คือ ฐานข่มขืนกระทําชําเรา มาตรา ๒๘๐
คือฐานกระทําอนาจารตามมาตรา ๒๗๘ หรือมาตรา ๒๗๙ เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทําได้รับอันตรายสาหัสหรือถึงแก่ความตาย
มาตรา ๒๘๕ ฐานข่มขืนกระทําชําเราผู้สืบสันดานหรือศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแล ส่วนมาตรา ๗ (๒ ทวิ) เป็นความผิดเกี่ยวกับเพศตามที่บัญญัติ ไว้ในมาตรา
๒๘๒ และมาตรา ๒๘๓
ข้อสังเกต
ที่ใช้คำว่า “ทางการประเทศญี่ปุ่นแจ้งให้ตํารวจไทยทราบ”
แสดงว่า ผู้ออกข้อสอบประสงค์จะให้ตอบเกี่ยวกับมาตรา ๘ ด้วย
ประการแรกจะต้องตอบว่ามาตรา ๒๘๒ เป็นความผิดที่ระบุไว้ในมาตรา ๘ วรรคสอง หรือไม่
และต้องแปลความคำว่า “การที่ประเทศญี่ปุ่นแจ้งให้ตํารวจไทยทราบ”
ถือว่าเป็นการร้องขอให้ลงโทษหรือไม่ ถ้าถือว่า
เป็นการร้องขอให้ลงโทษ ก็จะต้องตอบว่ากรณีนี้จะลงโทษนางเดือนภายในราชอาณาจักร โดยอาศัยมาตรา
๘ ได้หรือไม่ด้วย
คำตอบ
นางเดือนกระทําความผิดนอกราชอาณาจักร และเป็นความผิดเกี่ยวกับเพศตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๒๘๒ ซึ่งเป็นความผิดที่ระบุไว้ ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗ (๒ ทวิ)
นางเดือนจะต้องรับโทษในราชอาณาจักร ตามมาตรา ๗
แม้ทางราชการประเทศญี่ปุ่นจะได้แจ้งให้ตํารวจไทยทราบอันถือว่าเป็นการร้องขอ ให้ลงโทษตามมาตรา ๘ (ก) แต่ความผิดที่นางเดือนกระทํานั้นมิใช่ความผิดที่ระบุไว้ในวรรคสองของมาตรา ๘ ดังนั้น นางเดือนจึงไม่ต้องรับโทษในราชอาณาจักรตามมาตรา ๘
วิชา กฏหมายอาญา มาตรา ๑-๕๘, ๑๐๗ - ๒๐๘ อ.อุทัยฯ สมัยที่ ๗๗ ครั้งที่ ๓
คำถามสมัย
๕๒ ปี ๒๕๔๒
ถามว่า นายซิงห์คนสัญชาติอินเดีย
ใช้มีดกรีดเสื้อ ของนายซันคนสัญชาติอินเดียขาด
เหตุเกิดในเครื่องบินสายการบินแอร์อินเดีย ขณะบินอยู่ ในน่านฟ้าในทะเลหลวง
เมื่อเครื่องบินเข้ามาจอดที่ท่าอากาศยานในประเทศไทย นายซัน
ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนผู้มีอํานาจให้ดําเนินคดีแก่นายซิงห์
ต่อมานายซิงห์ถูกฟ้อง ฐานทําให้เสียทรัพย์ของนายซัน ตามมาตรา ๓๕๘
ให้วินิจฉัยว่า นายซิงห์จะถูกลงโทษ
ในราชอาณาจักรได้หรือไม่เพียงใด
คำตอบ
นายซิงห์ใช้มีดกรีดเสื้อของนายชั้นขาด แม้จะเป็นความผิดฐานทําให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๓๕๘ อันเป็นความผิดที่ระบุไว้ในมาตรา ๘ (๑๓) ก็ตาม
แต่ผู้กระทําความผิดเป็นคนต่างด้าว และนายซันผู้เสียหายเป็นคนสัญชาติ อินเดีย
จึงถือไม่ได้ว่าคนไทยเป็นผู้เสียหาย กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา ๘ (ข) ที่นายซิงห์จะต้องรับโทษในราชอาณาจักร
ดังนั้น กรณีที่พนักงานอัยการฟ้องนายซิงห์ฐานทําให้เสียทรัพย์ของนายซัน นายซิงห์จะถูกลงโทษในราชอาณาจักรไทยไม่ได้
วิชา กฏหมายอาญา มาตรา ๑-๕๘, ๑๐๗-๒๐๘ อ.อุทัยฯ สมัยที่ ๗๗ ครั้งที่ ๓
เจาะหลักกฎหมาย ประเด็นฎีกา : กฎหมายคุ้มครองแรงงาน (เตรียมสอบ ผู้ช่วยผู้พิพากษา)
เตรียมสอบ ผู้ช่วยผู้พิพากษา (ปี ๒๕๖๗ -๒๕๖๘)
ประเด็น การเปลี่ยนโทษจากการเลิกจ้างเป็นการหักค่าจ้างซึ่งเป็นโทษที่ร้ายแรงน้อยกว่าสามารถทําได้ หรือไม่
การหักค่าตอบแทนในระหว่างนัดหยุดงานตามหลัก
no
work no pay หรือการเปลี่ยนโทษจากการเลิกจ้างเป็นการหักค่าจ้างซึ่งเป็นโทษที่ร้ายแรงน้อยกว่าสามารถทําได้
(ฎีกาที่ ๓๔๕๑ - ๓๔๕๒/๒๕๔๙ และที่ ๓๑๐๙/๒๕๓๕)
คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๔๕๑ - ๓๔๕๒/๒๕๔๙
เมื่อบรรดาลูกจ้างของโจทก์ได้ยื่นข้อเรียกร้องขอเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างต่อโจทก์ผู้เป็นนายจ้าง
แล้วบรรดาลูกจ้างดังกล่าวกับโจทก์ได้เจรจากันจนสามารถบรรลุข้อตกลงกันได้และทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพจ้างกันโดยไม่มีข้อตกลงใดที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย
เป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนแล้วข้อตกลงดังกล่าวย่อมมีผลใช้บังคับได้หาตกเป็นโมฆะดังที่บัญญัติไว้ใน
ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๐ แต่อย่างใดไม่ การที่ลูกจ้างได้รวมตัวกันหยุดงานเมื่อยังไม่มีการแจ้งข้อเรียกร้องก็ดี
จำนวนผู้แทนของลูกจ้างผู้เข้าร่วมในการเจรจากันมีจำนวนเกินกว่าเจ็ดคนก็ดี
พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานเข้าดำเนินการไกล่เกลี่ยในวันเดียวกับที่บรรดาลูกจ้างยื่นข้อเรียกร้องก็ดีนั้น
แม้จะเป็นการผิดแผกแตกต่างจากขั้นตอนที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ฯ
ก็หามีผลเป็นเหตุให้ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างซึ่งมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมายดังที่ได้วินิจฉัยแล้วต้องตกเป็นโมฆะ
จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๙ ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานคดีนี้ได้
เมื่อโจทก์มีพฤติการณ์และการกระทำที่ไม่ติดใจเอาโทษต่อจำเลยร่วมทั้งหมดและพวกลูกจ้างโจทก์ในคดีนี้ โดยโจทก์ได้ชี้แจงทำความเข้าใจกับลูกจ้างและหักค่าจ้างสำหรับการเข้าทำงานสายแล้ว โจทก์ก็ไม่ติดใจลงโทษทางวินัยอย่างอื่นอีก จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยร่วมทั้งหมดได้จงใจทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย และโจทก์ย่อมไม่อาจจะนำการกระทำใด ที่บรรดาจำเลยร่วมทั้งหมดและพวกลูกจ้างโจทก์ในคดีนี้ได้กระทำลงไปมาลงโทษทางวินิจฉัยด้วยการเลิกจ้างบรรดาลูกจ้างดังกล่าวได้อีก กรณีไม่มีเหตุจะเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ ๑ และคำสั่งของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๙
ไล่สาย ประเด็นที่น่าสนใจ แนวการออกข้อสอบกฎหมายแรงงาน ⭐⭐⭐⭐⭐
๑. การที่ลูกจ้างได้รวมตัวกันหยุดงานเมื่อยังไม่มีการแจ้งข้อเรียกร้องก็ดี จำนวนผู้แทนของลูกจ้างผู้เข้าร่วมในการเจรจากันมีจำนวนเกินกว่าเจ็ดคนก็ดี พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานเข้าดำเนินการไกล่เกลี่ยในวันเดียวกับที่บรรดาลูกจ้างยื่นข้อเรียกร้องก็ดีนั้น
๒. แม้จะเป็นการผิดแผกแตกต่างจากขั้นตอนที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ฯ ก็หามีผลเป็นเหตุให้ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างซึ่งมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมายดังที่ได้วินิจฉัยแล้วต้องตกเป็นโมฆะ
๓. พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงาน ย่อมมีอำนาจชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานนี้ได้
๓. ดังนั้น เมื่อบรรดาลูกจ้างของโจทก์ได้ยื่นข้อเรียกร้องขอเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างต่อโจทก์ผู้เป็นนายจ้าง แล้วบรรดาลูกจ้างดังกล่าวกับโจทก์ได้เจรจากันจนสามารถบรรลุข้อตกลงกันได้และทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพจ้างกันโดยไม่มีข้อตกลงใดที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนแล้วข้อตกลงดังกล่าวย่อมมีผลใช้บังคับได้หาตกเป็นโมฆะดังที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๐
๔. เมื่อนายจ้างไม่ติดใจลงโทษทางวินัยอย่างอื่นอีก จึงถือไม่ได้ว่าลูกจ้างได้จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย และนายจ้างย่อมไม่อาจจะนำการกระทำใด ที่บรรดาลูกจ้าง ในคดีนี้ได้กระทำลงไปมาลงโทษทางวินิจฉัยด้วยการเลิกจ้างบรรดาลูกจ้างดังกล่าวได้อีก
เจาะหลักกฎหมาย ประเด็นฎีกา : กฎหมายแพ่ง ละเมิด (เตรียมสอบ ผู้ช่วยผู้พิพากษา)
เตรียมสอบ ผู้ช่วยผู้พิพากษา (ปี 2567 -2568)
คำถาม ลูกจ้างกระทำละเมิดในทางการที่จ้าง จะถือว่านายจ้างผิดนัดเมื่อใด
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 7495/2555 ป.พ.พ.มาตรา 206 บัญญัติ ให้หนี้อันเกิดแต่มูลละเมิด ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดมาแต่เวลาที่ทำละเมิด เมื่อจำเลยที่ 1 ทำละเมิดต่อโจทก์และได้ชื่อว่าผิดนัดมาแต่เวลาที่ทำละเมิด จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้างจะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ลูกจ้างในผลแห่งละเมิดซึ่งจำเลยที่ 1 ได้กระทำไปในทางการที่จ้าง จำเลยที่ 2 จึงอยู่ในฐานะเป็นลูกหนี้เช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 และได้ชื่อว่าผิดนัดมาแต่เวลาที่จำเลยที่ 1 ทำละเมิดเช่นเดียวกัน จำเลยทั้งสองจึงต้องเสียดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่จะต้องชดใช้ตั้งแต่วันทำละเมิด มิใช่นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
แนวการเขียนตอบข้อสอบ ⭐⭐⭐⭐⭐
1. ป.พ.พ.มาตรา 206 บัญญัติ ให้หนี้อันเกิดแต่มูลละเมิด ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดมาแต่เวลาที่ทำละเมิด
2. เมื่อลูกจ้าง ทำละเมิดต่อโจทก์และได้ชื่อว่าผิดนัดมาแต่เวลาที่ทำละเมิด นายจ้างจะต้องร่วมรับผิดกับ ลูกจ้างในผลแห่งละเมิดซึ่งลูกจ้าง ได้กระทำไปในทางการที่จ้าง
3. นายจ้าง จึงอยู่ในฐานะเป็นลูกหนี้เช่นเดียวกับลูกจ้าง
4. นายจ้าง จึงผิดนัดมาแต่เวลาที่ลูกจ้าง ทำละเมิดเช่นเดียวกัน
5. ลูกจ้าง และนายจ้าง ทั้งสองจึงต้องเสียดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่จะต้องชดใช้ตั้งแต่วันทำละเมิด มิใช่นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
วิเคราะห์ปัญหาในประเด็นคำถามนี้
1. ลูกจ้างกระทำละเมิดในทางการที่จ้าง จะถือว่านายจ้างผิดนัดเมื่อใด อาจจะเป็นคำถามที่ "ถามง่าย แต่ตอบยาก" ทำให้เกิดความลังเลใจ
2. หลักกฎหมาย เบื้องต้น ทุกท่านทราบ ตอบได้ทันทีอยู่แล้วว่า "หนี้อันเกิดแต่มูลละเมิด ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดมาแต่เวลาที่ทำละเมิด" แต่ปัญหาที่จะต้องตอบ คือ นายจ้างผิดนัดเมื่อใด💣💣💣 เกิดปัญหา ว่าจะตอบไปทางซ้าย ธงอาจจะไปทางขวา (คือ เดา หรือไม่มั่นใจ วัดดวง)
3. .ให้เขียนตอบข้อสอบแบบ "แพ่ง"
https://www.lawsiam.com/?file=lawyer-exam