วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ถอดคำบรรยายเนติ วิ.แพ่ง ภาค4 อ.สมพงษ์ เหมวิมล 22 พ.ย 60 (ภาคค่ำ) เนติ ภาค2/70 ครั้งที่1

ถอดคำบรรยายเนติ วิ.แพ่ง ภาค4 อ.สมพงษ์ เหมวิมล  
 วันที่ 22 พ.ย 60 (ภาคค่ำ) เนติ ภาค2/70 ครั้งที่1



คำแนะนำการใช้งาน : เพียงเข้าระบบ +กดดาวน์โหลด ตามลิงค์ข้างต้น.



วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ฎีกา 5 ดาว ถอดคำบรรยายเนติ วิชา วิ.แพ่ง ภาค 4 (ภาคค่ำ) วันที่ 22 พย 60 อ.สมพงษ์ เหมวิมล ภาค2 สมัยที่ 70

ฎีกา 5 ดาว ถอดคำบรรยายเนติ วิชา วิ.แพ่ง ภาค 4 (ภาคค่ำ)
วันที่ 22 พย 60 อ.สมพงษ์ เหมวิมล ภาค2 สมัยที่ 70
--------------------

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 178/2551 (อ.เน้นออกสอบ) จำเลยตั้งโจทก์เป็นตัวแทนประสานงานเพื่อผลประโยชน์ของจำเลยในการได้รับจ้างงานในโครงการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ต่อมาจำเลยได้เข้าเป็นคู่สัญญากับกิจการร่วมค้าไอทีโอโดยเป็นผลจากการดำเนินการของโจทก์ตามสัญญาตั้งตัวแทน โจทก์มีสิทธิเรียกร้องอันเป็นมูลหนี้ตามสัญญาดังกล่าวที่จะฟ้องร้องจำเลยได้ คดีของโจทก์จึงมีมูลที่จะฟ้องร้อง ส่วนปัญหาว่า โจทก์ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาตั้งตัวแทน หรือจำเลยได้รับการจ้างเหมาช่วงงานดังกล่าวโดยไม่ได้เป็นผลจากการปฏิบัติตามสัญญาของโจทก์หรือไม่ ยังเป็นที่โต้เถียงกันซึ่งต้องนำสืบพยานหลักฐานกันในชั้นพิจารณาต่อไป แม้จำเลยไม่ตั้งใจยักย้ายทรัพย์สินของตนไปให้พ้นจากอำนาจศาล ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 255 (1) (ก) แต่การที่จำเลยไม่มีภูมิลำเนาในประเทศไทย ไม่มีสำนักงานสาขาในประเทศไทยแม้เคยมีก็ปิดสำนักงานสาขาไปแล้วเพราะใบอนุญาตประกอบกิจการของคนต่างด้าวไม่ถูกต้อง และการที่จำเลยไม่มีทรัพย์สินใดในประเทศไทย ทั้งจำเลยไม่มีทรัพย์สินอยู่ในประเทศไทยพอที่โจทก์จะบังคับคดีได้ ย่อมเป็นเหตุจำเป็นอื่นที่เป็นการยุติธรรมและสมควรที่จะคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างพิจารณาตามมาตรา 255 (1) (ข) จึงนำวิธีคุ้มครองชั่วคราวตามที่โจทก์ขอมาใช้ในการสั่งให้อายัดเงินค่าจ้างที่กิจการร่วมค้าไอทีโอบุคคลภายนอกจะชำระให้แก่จำเลยได้ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 254 (1)

.


ติดตาม ถอดเทป-เน้นประเด็นคำบรรยาย สรุป เก็ง วิแพ่ง วิอาญา ทยอยอัพเดท.. ที่ LawSiam.com

ฎีกาการเล่นแชร์ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2513/2551)

      คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2513/2551 การเล่นแชร์เป็นสัญญาชนิดหนึ่งเกิดขึ้นจากความตกลงระหว่างผู้เล่น จำเลยทั้งสี่และโจทก์ทั้งสองเป็นลูกวงแชร์ที่ ป. เป็นนายวงแชร์ต่างก็เข้าร่วมเล่นแชร์ด้วยกันถือได้ว่าจำเลยทั้งสี่กับโจทก์ทั้งสองและลูกวงแชร์คนอื่นๆ มีความผูกพันต้องส่งเงินตามที่ตกลงกันในการเล่นและมีสิทธิในการเข้าประมูลระหว่างลูกวงแชร์ด้วยกันจึงต้องมีความผูกพันต่อกันด้วยหาใช่จะผูกพันเฉพาะแต่นายวงแชร์ไม่ สำหรับ ป. ที่เป็นนายวงแชร์ เป็นการกำหนดตัวบุคคลให้เป็นผู้รับภาระรับผิดชอบรวบรวมเงินจากลูกวงแชร์ทุกคนเพื่อส่งมอบแก่สมาชิกอื่นผู้ประมูลได้ตามที่ตกลงกันไว้ เมื่อจำเลยทั้งสี่เป็นผู้ประมูลได้และรับเงินไปแล้ว นายวงแชร์ได้เก็บเงินค่าแชร์จากโจทก์ทั้งสองและลูกวงแชร์ไปเพื่อชำระให้จำเลยทั้งสี่แล้ว ยังจะต้องหมุนเวียนเปลี่ยนกันไปจนกว่าจะครบ ดังนั้น จำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นผู้ประมูลเงินแชร์ไปได้แล้วจึงมีหน้าที่ผูกพันจะต้องส่งเงินคืนแก่ผู้ที่ยังไม่ได้ประมูล เมื่อโจทก์ทั้งสองเป็นผู้ที่ยังไม่ได้ประมูลและ ป. นายวงแชร์หลบหนีไป สัญญาแชร์วงนี้จึงเลิกเล่นกันก่อนที่จะมีการประมูลกันในงวดต่อไป คู่กรณีจึงกลับคืนสู่ฐานะเดิม จำเลยทั้งสี่ต้องส่งเงินที่รับไปคืนโจทก์ทั้งสอง เมื่อจำเลยทั้งสี่ไม่ยอมคืน โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสี่ให้คืนเงินนั้นได้

ฎีกา ถอดไฟล์เสียง เนติ วิชา วิ.แพ่ง ภาค 4 (ภาคค่ำ) 22 พย 60 อ.สมพงษ์ เหมวิมล ภาค2 สมัยที่ 70

ฎีกา ถอดไฟล์เสียง เนติ วิชา วิ.แพ่ง ภาค 4 (ภาคค่ำ)
วันที่ 22 พ.ย 60 อ.สมพงษ์ เหมวิมล ภาค2 ครั้งที่ 1 สมัยที่ 70
-----------------
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 500/2504 ทรัพย์ที่โจทก์นำยึดเป็นโรงเรือนมี 2 ชั้น แม้ชั้นบนกับชั้นล่างมีทางเข้าต่างหากจากกัน และชั้นบนมี 11 ห้อง ใช้เป็นโรงแรม ชั้นล่างมี 4 ห้อง ใช้เป็นที่อยู่อาศัยของจำเลยและบริวาร แต่มีสภาพเป็นโรงเรือนเพียงหลังเดียวไม่สามารถที่จะแยกจากกันได้ ผู้ร้องขับทรัพย์จะขอให้แยกยึดไม่ได้
การยื่นคำขอตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 (1) เป็นสิทธิของโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาที่นำยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาแล้วมีผู้มาร้องขัดทรัพย์ เจ้าหนี้ขอให้ศาลสั่งผู้ร้องขัดทรัพย์วางเงินประกันต่อศาลได้ หาใช่ให้สิทธิแก่ผู้ร้องขัดทรัพย์ที่จะขอเช่นนั้นไม่




ติดตาม ถอดเทป-เน้นประเด็นคำบรรยาย สรุป เก็ง วิแพ่ง วิอาญา ทยอยอัพเดท.. ที่ LawSiam.com

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1904/2559

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1904/2559 แม้ ป.วิ.พ. ลักษณะ 2 ศาล หมวด 1 เขตอำนาจศาลได้บัญญัติเกี่ยวกับคำฟ้องหรือคำร้องขอที่เสนอภายหลังเกี่ยวเนื่องกับคดีที่ค้างพิจารณาอยู่ในศาลว่าให้ฟ้องหรือร้องขอเข้ามาในคดีเดิมได้ตามมาตรา 7 (1) แต่คดีนี้เป็นคดีที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ช. และ ซ. เป็นคนไร้ความสามารถ ขอให้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ และตั้งผู้ร้องเป็นผู้อนุบาล มีผู้คัดค้านและผู้ร้องสอดต่างขอให้ตั้งตนเป็นผู้อนุบาลด้วย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ ช. และ ซ. เป็นคนไร้ความสามารถ และตั้งผู้ร้อง ผู้คัดค้านและผู้ร้องสอดเป็นผู้อนุบาลร่วมกัน การที่ผู้ร้องมายื่นคำร้องขอให้บังคับ ศ. ซึ่งเป็นผู้ดูแลและรักษาเงินรายได้ของ ซ. ให้ส่งมอบเงินให้ ซ. โดย ศ. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและไม่ได้เป็นคู่ความในคดีและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเป็นผู้อนุบาลแต่อย่างใดว่าไม่ยอมส่งมอบเงินรายได้ของคนไร้ความสามารถ อันเป็นการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 นั้น ชอบที่ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้อนุบาลจะไปฟ้องร้องดำเนินคดีกับ ศ. เป็นอีกคดีต่างหาก คำร้องขอของผู้ร้องจึงไม่ใช่คำร้องขอที่เสนอภายหลังเกี่ยวเนื่องกับคดีนี้ตามบทบัญญัติมาตรา 7 (1) ผู้ร้องไม่อาจยื่นคำร้องขอในคดีนี้ได้

พ.ร.บ.การเล่นแชร์ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1361/2552)

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1361/2552  พ.ร.บ.การเล่นแชร์ พ.ศ.2534 เป็นบทบัญญัติที่มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองประชาชนและเพื่อมิให้มีการประกอบธุรกิจการเล่นแชร์ที่กระทบต่อการระดมเงินออมของสถาบันการเงินที่ทางราชการสนับสนุนและรับผิดชอบซึ่งส่งผลกระทบไปถึงระบบเศรษฐกิจโดยส่วนรวม แต่การเล่นแชร์ของประชาชนโดยทั่วไปที่มิได้ดำเนินการเป็นธุรกิจยังให้กระทำต่อไปได้ ดังนั้น มาตรา 6 แห่ง พ.ร.บ. ดังกล่าว จึงบัญญัติห้ามมิให้บุคคลธรรมดาเป็นนายวงแชร์หรือจัดให้มีการเล่นแชร์ที่มีลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดใน 4 ประการ เช่น ตามมาตรา 6 (3) อีกทั้งมาตรา 17 แห่ง พ.ร.บ. ดังกล่าวได้บัญญัติเอาความผิดแก่นายวงแชร์หรือผู้จัดให้มีการเล่นแชร์ที่ฝ่าฝืนมาตรา 6 แสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าประสงค์จะเอาความผิดเฉพาะผู้เป็นนายวงแชร์หรือผู้จัดให้มีการเล่นแชร์เท่านั้น ดังนั้น นิติกรรมการเล่นแชร์ของนายวงแชร์หรือผู้จัดให้มีการเล่นแชร์เท่านั้นที่ตกเป็นโมฆะ แต่นิติกรรมการเล่นแชร์ของโจทก์และจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสมาชิกวงแชร์ไม่ตกเป็นโมฆะไปด้วยตาม ป.พ.พ. มาตรา 173 สิทธิหรือหน้าที่ของสมาชิกวงแชร์มีความผูกพันตามกฎหมายอยู่อย่างไรความผูกพันย่อมมีอยู่เช่นนั้นเมื่อจำเลยที่ 1 ประมูลแชร์ได้และสั่งจ่ายเช็คเงินค่าแชร์มอบให้แก่จำเลยที่ 2 เพื่อนำไปมอบให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นสมาชิกวงแชร์ที่ยังไม่ได้ประมูล เพื่อให้โจทก์นำไปเข้าบัญชีเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน เนื่องจากจำเลยที่ 1 มีคำสั่งให้ระงับการจ่ายเงิน ถือว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญา จึงต้องรับผิดชำระเงินค่าแชร์แก่โจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง การเล่นแชร์เป็นสัญญาประเภทหนึ่งซึ่งเกิดจากการตกลงกันระหว่างผู้เล่น สามารถบังคับกันได้ตามกฎหมาย แต่อายุความเกี่ยวกับการฟ้องเรียกเงินค่าแชร์ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะจึงมีกำหนด 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 เมื่อวงแชร์ล้มในวันที่ 20 กรกฎาคม 2540 จำเลยที่ 1 ตกลงให้โจทก์นำเช็คไปเรียกเก็บเงินในวันที่ 25 พฤษภาคม 2541 และเช็คดังกล่าวถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินในวันเดียวกัน โจทก์อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์ได้นับแต่วันดังกล่าวเป็นต้นไป เมื่อนับถึงวันที่ 31 มีนาคม 2546 ซึ่งเป็นวันฟ้องยังไม่พ้นกำหนด 10 ปี คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
 

วันพุธที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

หลักการชี้สองสถาน

 หลักการชี้สองสถาน คือ 
        ในกระบวนพิจารณาคดีของศาล เพื่อความสะดวกในการดำเนินคดี เมื่อศาลได้อ่านสำนวนคำฟ้องของโจทก์ และสำนวนคำให้การของจำเลยแล้ว ศาลจะมีแนวพิจารณา 2 ทาง คือ
           1. เมื่อโจทก์กล่าวหา = = > จำเลยยอมรับ = = > ศาลฟังได้ความแล้ว = = > จะรอตัดสินความ
          2. เมื่อโจทก์กล่าวหา = = > จำเลยปฏิเสธ = = > ศาลยังฟังไม่ได้ความ = = > จะนัดชี้สองสถาน

       การชี้สองสถาน คือ การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาล หลังมีการยื่นคำฟ้อง คำให้การ หรือคำให้ การแก้ฟ้องแย้งแล้ว เพื่อความสะดวกในการพิจารณาพิพากษาคดี ศาลจะสั่งให้มีการชี้สองสถาน ซึ่งในวันนั้น ศาลจะดำเนินการ 4 เรื่อง คือ
         1. การกำหนดประเด็นข้อพิพาท ตาม ม.183 ว.1
         2. การกำหนดหน้าที่นำสืบ ตาม ม.84
         3. การกำหนดหน้าที่นำสืบก่อนหลัง ตาม ม.183 ว.1 ความท้าย
        4. การกำหนดวันสืบพยาน ตาม ม.184 ว.1

   ดังนั้น สรุปได้ว่าการชี้สองสถาน คือ การที่ศาลพิจารณาคำฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลยหากมีข้อใดที่ฝ่ายโจทก์อ้างแล้วจำเลยไม่ยอมรับ ศาลจะกำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาท และกำหนดให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนำพยานหลักฐานมาสืบ

ฎีกาใหม่ ถอดเทปเนติฯ* กฏหมายล้มละลาย (อ.ชีพ จุลมนต์) 21 พ.ย.60 ภาคปกติ สัปดาห์ที่1 สมัยที่ 2/70

ฎีกาใหม่ ถอดเทปเนติฯ* กฏหมายล้มละลาย (อ.ชีพ จุลมนต์)
21 พ.ย.60 ภาคปกติ สัปดาห์ที่1 สมัยที่ 2/70
คำพิพากษาฎีกาที่ 914/2559 (ฎีกาใหม่) มูลหนี้ตามคำพิพากษาถือเป็นหนี้ที่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน และกรณีเช่นนี้คู่ความต้องผูกพันตามคำพิพากษาของศาล ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 โดยไม่จำต้องรอให้คดีถึงที่สุด ดังนั้น แม้คดีจะยังไม่ถึงที่สุด ก็สามารถนำมูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมาฟ้องให้ล้มละลายได้


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10781/2558 (ฎีกาใหม่) จำเลยที่ 1 และที่ 3 ถูกยึดทรัพย์ตามหมายบังคับคดี ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 4 ไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ กรณีต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8 (5) ว่า จำเลยทั้งสี่มีหนี้สินล้นพ้นตัว จำเลยทั้งสี่มีหน้าที่นำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมาย
คำพิพากษาฎีกาที่ 12340/2558 โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นลูกค้าโจทก์ โดยตกลงเปิดบัญชีเดินสะพัดประเภทบัญชีกระแสรายวันเลขที่ 057-1-07973-9 ไว้กับโจทก์ สาขาพระรามที่ 3 เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2553 จำเลยได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ภายในวงเงินไม่เกิน 5,000,000 บาท ยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมขั้นต่ำที่โจทก์เรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี ( MRR) บวก 1.75 ต่อปี ขณะทำสัญญาอัตราร้อยละ 8.2 ต่อปี ของยอดหนี้ในส่วนที่ไม่เกินวงเงิน ส่วนที่อยู่เกินวงเงินจำเลยยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราที่โจทก์ประกาศกำหนดเป็นคราว ๆ ไป ขณะทำสัญญาอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในวันเดียวกันจำเลยได้กู้ยืมเงินไปจากโจทก์จำนวน 4,400,000 บาท ยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมขั้นต่ำที่โจทก์เรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) บวก 1.75 ต่อปี ขณะทำสัญญาอัตราร้อยละ 8.20 ต่อปี ตกลงชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ เป็นงวดรายเดือนรวม 60 งวดไม่น้อยกว่างวดละ 89,700 บาท เริ่มชำระงวดแรกในวันทำการสุดท้ายของเดือนกรกฎาคม 2553 งวดต่อไปชำระทุกวันทำการสุดท้ายของเดือนถัดไปกำหนดชำระให้เสร็จสิ้นในเดือนมิถุนายน พ.ศ.2558 นอกจากนี้ในวันดังกล่าวจำเลยยังได้กู้ยืมเงินไปจากโจทก์จำนวน 189,300 บาท ยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ขั้นต่ำที่โจทก์เรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) บวก 1.79 ต่อปี ขณะทำสัญญาอัตราร้อยละ 8.2 ต่อปี ตกลงชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์เป็นงวดรายเดือนรวม 60 งวด ไม่น้อยกว่างวดละ 3,900 บาท เริ่มชำระงวดแรกในวันทำการสุดท้ายของเดือนกรกฎาคม 2553 งวดต่อไปชำระทุกวันทำการสุดท้ายของเดือนถัดไป กำหนดชำระให้เสร็จสิ้นในเดือน มิถุนายน 2558 เพื่อเป็นประกันหนี้ดังกล่าวและหนี้สินอื่น จำเลยได้จดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 68402 พร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้แก่โจทก์ในวงเงิน 5,189,300 บาท ยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดที่จะเรียกเก็บจากลูกค้าทั่วไป ขณะทำสัญญาอัตราร้อยละ 11.45 ต่อปี หากผิดนัดหรือผิดสัญญายอมเสียดอกเบี้ยในอัตราดอกเบี้ยผิดนัด หลังจากทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีแล้ว จำเลยได้เบิกเงินและนำเงินเข้าบัญชีเพื่อหักทอนกันหลายครั้ง และเดินสะพัดทางบัญชีเรื่อยมาแล้วผิดนัด สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2553 จากนั้นคิดดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้น คำนวณยอดหนี้ดังกล่าวถึงวันฟ้อง เป็นเงิน 6,174,835.69 บาท ส่วนหนี้ตามสัญญากู้ทั้งสองฉบับจำเลยผิดนัดชำระ คำนวณยอดหนี้เงินกู้ทั้งสองฉบับถึงวันฟ้องเป็นเงิน 5,406,415.01 บาท รวมยอดหนี้ ทั้งสิ้น 11,581,250.70 บาทเมื่อหักกับราคาประเมินทรัพย์จำนองเป็นเงิน 6,409,500 บาท จำเลยยังมีหนี้โจทก์ 5,171,750.70 บาท โจทก์มอบหมายให้ทนายความมีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้สองครั้ง ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวันและจำเลยไม่ชำระหนี้ ทั้งไปเสร็จจากเคหะสถานที่เคยอยู่หรือหลบไปหรือปิดสถานที่ประกอบธุรกิจ เพื่อประวิงการชำระหนี้หรือมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ จำเลยเป็นบุคคลผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด และพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง จำเลยไม่เคยไปธนาคารโจทก์ สาขาธนาคารถนนพระรามที่ 3 ลายมือชื่อในใบสมัครเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันไม่ใช่ลายมือชื่อจำเลย เป็นลายมือชื่อปลอม จำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ จำเลยไม่เคยลงลายมือชื่อในหนังสือสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและสัญญากู้เงินต่อหน้าพนักงานของโจทก์ นายณัฐกฤษ สว่างผล เป็นผู้ทำนิติกรรมกับโจทก์ จำเลยไม่เคยได้รับเงิน จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ หนี้ของโจทก์ไม่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน โจทก์ไม่ได้กล่าวในฟ้องว่าถ้าจำเลยล้มละลายแล้วจะยอมสละหลักประกันเพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งหลาย โจทก์ไม่สามารถฟ้องจำเลยให้ล้มละลายได้ จำเลยมิได้เป็นบุคคลผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ยกฟ้อง ศาลล้มละลายกลางพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการแรกตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนายสมชาย เวศยาสิรินทร์ เป็นพยานเบิกความว่า เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2553 จำเลยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ในวงเงินไม่เกิน 5,000,000 บาทและทำสัญญากู้เงินจากโจทก์สองฉบับ ฉบับแรกเป็นเงิน 4,400,000 บาท ฉบับที่ 2 เป็นเงิน 189,300 บาท โดยได้รับเงินกู้ไปจากโจทก์เรียบร้อยแล้ว และจำเลยได้จดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนด 68402 ตำบลงิ้ว อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา พร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้เป็นประกันแก่โจทก์ และนับแต่จำเลยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์แล้ว จำเลยได้เบิกเงินตามสัญญาไปจากโจทก์และนำเงินเข้าบัญชีเพื่อหักทอนกันหลายครั้ง ซึ่งบัญชีของจำเลยได้เดินสะพัดเรื่อยมาจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2553 สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีสิ้นสุดลง จำเลยเป็นหนี้โจทก์ ณ วันดังกล่าวเป็นเงิน 5,034,770.59 บาท หลังจากนั้นคิดดอกเบี้ยแบบไม่ทบต้นคำนวณหนี้เบิกเงินเกินบัญชีถึงวันฟ้องเป็นเงิน 6,174,835.69 บาท ส่วนหนี้ตามสัญญากู้เงินฉบับที่ สองจำเลยได้ผ่อนชำระให้แก่โจทก์บ้างไม่เป็นไปตามที่ตกลงไว้ หลังจากนั้นก็ไม่ชำระ คำนวณหนี้เงินกู้ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 5,406,415.01 บาท รวมยอดหนี้ทุกประเภทแล้วเป็นเงิน 11,581,250.70 บาท เห็นว่า พยานโจทก์ดังกล่าวทำงานในตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารโจทก์มีหน้าที่ติดตามทวงถามหนี้สินคืนให้แก่โจทก์และดำเนินคดีแก่ลูกหนี้ของโจทก์เบิกความไปตามข้อเท็จจริงที่พยานได้ตรวจสอบเอกสารแห่งหนี้ ซึ่งสอดคล้องกับเอกสารที่โจทก์อ้างส่ง ประกอบกับโจทก์มีหนังสือสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี หนังสือยินยอมให้ธนาคารหักบัญชี สัญญากู้เงิน หนังสือขอรับเงินกู้ หลักฐานการรับเงินกู้ และรายการบัญชีเอกสารหมาย จ. 4 ถึง จ.6 และ จ.11 ถึง จ. 13 มาแสดงโดยเฉพาะตามหนังสือสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและสัญญากู้เอกสาร จ.4 จ.5 และ จ.6 มีลายมือชื่อจำเลยในฐานะผู้กู้เซ็นชื่อไว้ทุกแผ่น แผ่นแรกลงชื่อไว้ด้านบนและด้านล่าง เมื่อเปรียบเทียบดูลายมือชื่อของจำเลยในใบแต่งทนายก็มีลีลาการลงคล้ายคลึงกัน ประกอบกับจำเลยเองให้การรับว่าหนังสือสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี และสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ. 4 จ. 5 และ จ.6 จำเลยไม่เคยลงลายมือชื่อต่อหน้าพนักงานของโจทก์แสดงว่าจำเลยลงลายมือชื่อในสัญญาดังกล่าวจริง ซึ่งเจือสมกับทางนำสืบของโจทก์ แต่จำเลยกลับเบิกความว่า เอกสารหมาย จ.4 จ.5 และจ.6 เป็นลายมือชื่อจำเลยที่ลงชื่อในกระดาษเปล่ามอบให้นายณัฐกฤษ สว่างผล ไปแตกต่างขัดแย้งกันกับคำให้การของจำเลยดังกล่าวไม่น่าเชื่อถือและรับฟังไม่ได้ ทั้งนี้เพราะจำเลยลงชื่อในกระดาษเปล่าจริง ย่อมเป็นการยากที่โจทก์จะนำไปพิมพ์ปลอมข้อความซึ่งมีรายละเอียดมาก และตำแหน่งลายเซ็นผู้กู้จะตรงกับที่จำเลยลงชื่อไว้ สำหรับการรับเงินกู้และเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีตามสัญญากู้เงินระบุจำนวนเงินกู้และวิธีขอรับเงินกู้ โดยโอนเข้าบัญชีเงินฝากประเภทกระแสรายวันของจำเลยและของบริษัทเมืองไทยประกันชีวิต จำกัด เพื่อชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตของจำเลย โดยโจทก์มีหลักฐานการรับเงินกู้เอกสารหมาย จ. 6 และรายการเดินบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเอกสารหมาย จ.11 มาประกอบ นอกจากนี้ในวันทำหนังสือสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับสัญญากู้และรับเงินกู้ไปจากโจทก์ จำเลยยังได้จดทะเบียนจำนองที่ดินไว้เป็นประกันหนี้แก่โจทก์ด้วยตามหนังสือสัญญาจำนองที่ดินเอกสารหมาย จ. 7 หากจำเลยไม่ได้ทำหนังสือสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับสัญญากู้และรับเงินไปจากโจทก์ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จำเลยต้องไปจดทะเบียนจำนองที่ดินไว้เป็นประกันหนี้แก่โจทก์ พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบสามารถรับฟังได้แล้วว่าจำเลยได้ทำหนังสือสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและสัญญากู้กับโจทก์ตามฟ้องโดยโจทก์ไม่จำต้องนำบุคคล ที่รู้เห็นในการทำสัญญาหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับสัญญามาเบิกความยืนยันดังที่ศาลล้มละลายกลางวินิจฉัยแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในประการต่อไปตามคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยว่า ฟ้องโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จำเลยแก้อุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่ได้กล่าวบรรยายในคำฟ้องว่า ถ้าจำเลยล้มละลายแล้วจะยอมสละหลักประกันเพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งหลาย โจทก์จึงไม่สามารถฟ้องจำเลยให้ล้มละลายได้ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 10 บัญญัติว่า “….เจ้าหนี้มีประกันจะฟ้องลูกหนี้ให้ล้มละลายได้ก็ต่อเมื่อ…(2)กล่าวในฟ้องว่า ถ้าลูกหนี้ล้มละลายแล้วจะยอมสละหลักประกันเพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งหลายหรือตีราคาหลักประกันมาให้มาในฟ้องซึ่งเมื่อหักกับจำนวนหนี้ของตนแล้ว เงินยังขาดอยู่สำหรับลูกหนี้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า หนึ่งล้านบาทหรือลูกหนี้ซึ่งเป็นนิติบุคคลในจำนวนไม่น้อยกว่าสองล้านบาท” ตามบทบัญญัติดังกล่าวแยกออกเป็น 2 กรณี คือ การสละหลักประกันกรณีหนึ่ง กับการตีราคาหลักประกันอีกกรณีหนึ่ง ซึ่งเป็นสิทธิของโจทก์ที่จะเลือกบรรยายมาในฟ้องแสดงความไม่ประสงค์ที่จะใช้สิทธิบังคับเอาแก่หลักประกันเพื่อประโยชน์ของตนเพียงผู้เดียว โดยยอมสละหลักประกันเพื่อประโยชน์แก่บรรดาเจ้าหนี้ทั้งหลาย หรือประสงค์จะใช้สิทธิของตนบังคับเอาแก่หลักประกันนั้น โดยต้องบรรยายต่อไปว่าราคาหลักประกันที่ตีเมื่อหักกับหนี้ของตนแล้วเงินยังขาดอยู่สำหรับลูกหนี้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาท หรือลูกหนี้ซึ่งเป็นนิติบุคคลเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าสองล้านบาท ตามฟ้องโจทก์ใช้สิทธิ์เลือกบรรยายมาในฟ้องด้วยวิธีตีราคาหลักประกันหักกับหนี้ เงินยังขาดอยู่ไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาท โจทก์ไม่จำต้องบรรยายสละหลักประกันมาในฟ้องอีกฟ้องโจทก์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายมีว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความจากทางนำสืบของโจทก์ว่า ก่อนฟ้องโจทก์มอบหมายให้ทนายความมีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้แล้วสองครั้ง ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวัน ครั้งแรกภริยาจำเลยรับหนังสือทวงถามไว้แทน ครั้งที่สองพนักงานไปรษณีย์แจ้งว่า “ไม่มารับภายในกำหนด” ทั้งที่โจทก์ส่งหนังสือทวงถามไปยังภูมิลำเนาของจำเลยแห่งเดียวกันกับการส่งครั้งแรกอันเป็นการส่งอย่างเป็นทางการโดยชอบแล้ว แต่ไม่สามารถส่งหนังสือทวงถามให้แก่จำเลยได้ เชื่อว่าจำเลยหลีกเลี่ยงไม่รับหนังสือดังกล่าวภายในกำหนด จึงถือว่าจำเลยได้รับหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้ครั้งที่สองด้วยแล้ว กรณีต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8(9) ทางนำสืบของจำเลยไม่ปรากฏว่าจำเลยมีทรัพย์สินอื่นใดนอกจากทรัพย์จำนองซึ่งไม่พอที่จะชำระหนี้โจทก์ได้ทั้งหมด จึงไม่อาจรับฟังหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าวได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว และไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลายที่ศาลล้มละลายกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาอุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น” พิพากษากลับ ให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยให้หักจากกองทรัพย์สินของจำเลย เฉพาะค่าทนายความให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่สมควร


ติดตาม ถอดเทป-เน้นประเด็นคำบรรยาย สรุป เก็ง วิแพ่ง วิอาญา ทยอยอัพเดท.. ที่ LawSiam.com

ฎีกาเด่น ถอดเทปเนติฯ* วิ.แพ่ง ภาค1(อ.อำนาจ พวงชมภู) 21 พ.ย.60 ภาคปกติ สัปดาห์ที่1 สมัยที่ 2/70

ฎีกาเด่น ถอดเทปเนติฯ* วิ.แพ่ง ภาค1(อ.อำนาจ พวงชมภู)
วันที่  21 พ.ย.60 ภาคปกติ สัปดาห์ที่1 สมัยที่ 2/70
------------------------------

          คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๒๖๑/๒๕๓๕ เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้โจทก์นำส่งสำเนาอุทธรณ์แก่จำเลยนั้น ศาลอุทธรณ์จะต้องมีคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องของโจทก์ว่าโจทก์มีสิทธิยื่นคำร้องนั้นหรือไม่ ศาลอุทธรณ์เห็นด้วยกับคำสั่งของศาลชั้นต้นหรือจะสั่งแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำสั่งศาลชั้นต้น อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์เพียงสั่งว่า “รวม” จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๓๑ (๑) เมื่อศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาเสร็จไปแล้ว การที่จะเพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งให้โจทก์นำส่งสำเนาอุทธรณ์แก่จำเลยย่อมไม่เป็นประโยชน์แก่คดีของโจทก์แต่อย่างใด เพราะไม่มีผลทำให้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เปลี่ยนแปลง ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาที่ไม่เป็นสาระแก่คดี
ข้อสังเกต มาตรา ๑๓๑ (๑) นี้ใช้ในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาด้วย ดังนั้น คดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นอุทธรณ์หรือศาลฎีกา ถ้ามีการยื่นคำขอต่อศาลชั้นอุทธรณ์หรือศาลฎีกา ศาลชั้นอุทธรณ์หรือศาลชั้นฎีกาก็ต้องมีคำสั่งอนุญาตหรือ ยกคำขอตามมาตรา ๑๓๑ (๑) เช่นกัน


           คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๖๐๔/๒๕๔๐ เมื่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๗ วรรคสาม ให้สิทธิแก่จำเลยที่จะฟ้องแย้งเข้ามาในคำให้การได้ ถ้าข้ออ้างตามฟ้องแย้งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฟ้องเดิมแล้ว ศาลย่อมจะต้องรับคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยไว้พิจารณา เมื่อโจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๘ แล้ว ย่อมเกิดประเด็นข้อพิพาทที่จะนำไปสู่ประเด็นแห่งคดีที่ศาลจะต้องวินิจฉัยชี้ขาดให้คู่ความแพ้หรือชนะกัน ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๓๑ (๒) และมาตรา ๑๓๓ บัญญัติไว้ ฉะนั้น การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นแห่งคดีตามคำฟ้องของโจทก์แล้ววินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีตามคำฟ้องแย้งของจำเลยร่วมที่ ๒ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาพิพากษาคดีที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งแล้ว


ติดตาม ถอดเทป-เน้นประเด็นคำบรรยาย สรุป เก็ง วิแพ่ง วิอาญา ทยอยอัพเดท.. ที่ LawSiam.com

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6893/2559


      คำถาม ถ้าผู้ทำสัญญาประกันชีวิตกับผู้รับประโยชน์ตายพร้อมกัน ทรัพย์สิน สิทธิ หรือประโยชน์นั้นตกแก่ใคร?

       คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
     คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6893/2559 โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของ ท. การที่ ส. ทำสัญญาประกันชีวิตกับจำเลยโดยระบุให้ ท. เป็นผู้รับประโยชน์เป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ส. และ ท. ต่างถึงแก่ความตายซึ่งไม่ว่า ท. จะถึงแก่ความตายก่อนหรือหลัง ส. ท. ก็ถึงแก่ความตายเช่นเดียวกัน เมื่อ ท. ผู้รับประโยชน์ถึงแก่ความตายจึงไม่อาจเข้ารับประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิตของ ส. ได้ ดังนั้นจึงไม่อาจถือว่า ท. จะได้รับประโยชน์จากการจ่ายเงินตามเงื่อนไขของกรมธรรม์และไม่ถือว่าเงินตามกรมธรรม์ที่จำเลยจะต้องจ่ายให้แก่ ท. ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์นั้นตกเป็นของกองมรดก ท. กรณีต้องถือว่า ท. ผู้รับประโยชน์ไม่อาจเข้าถือเอาประโยชน์ตามสัญญาประกันชีวิตของ ส. ดังนั้นประโยชน์ที่จะได้รับจากสัญญาประกันชีวิตจึงต้องตกแก่ทายาทโดยธรรมของ ส. ผู้เอาประกันภัยเสมือนหนึ่งเป็นทรัพย์มรดกซึ่งผู้จัดการมรดกของ ส. หรือทายาทโดยธรรมจึงจะมีสิทธิเรียกร้องเอาเงินตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันชีวิตของ ส. เมื่อโจทก์เป็นเพียงผู้จัดการมรดกของ ท. จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกให้จำเลยชำระเงินตามกรมธรรม์ประกันชีวิตของ ส. ได้ (ป.พ.พ. ม.4, ม.374, ม.889, ม.1599)