กลุ่มเนติบัณฑิต เตรียมสอบเนติบัณฑิต ภาค1, 2 อัพเดท ฎีกาตามคำบรรยายเนติฯ
สรุปย่อ เจาะหลักกฎหมาย ฏีกาเก็ง ฎีกาเด่น เน้นประเด็น เตรียมสอบ 3 สนาม อัพเดท
วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2561
วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2561
สรุปฎีกาห้องบรรยายเนติ สัปดาห์ที่6 วิชาทรัพย์-ที่ดิน (ภาคปกติ) อ.กนกฯ 25-6-61 สมัยที่71
สรุปฎีกาห้องบรรยายเนติ สัปดาห์ที่6
วิชาทรัพย์-ที่ดิน (ภาคปกติ) อ.กนกฯ 25-6-61 สมัยที่71
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 561/2488 เช่าที่ดินของผู้อื่นปลูกตึกโดยตกลงว่าจะให้ตึกเป็นสิทธิแก่เจ้าของที่ดินจะเป็นในทันทีหรือในภายหน้าก็ตาม เมื่อถึงกำหนดนั้น ๆ แล้วตึกย่อมตกเป็นกรรมสิทธิแก่เจ้าของที่ดินโดยไม่ต้องมีการโอนทะเบียน ในกรณีเช่นนี้ถ้าโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทำการโอนก็ต้องตัดสินยกฟ้อง
วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2561
ถามตอบ บทบรรณาธิการเนติฯ เล่มที่ 2 สมัยที่ 1/71 (ฎีกาที่ ๕๓๗๖/๒๕๖๐, ฎีกาที่ ๒๑๓๑/๒๕๖๐)
คำถาม ผู้กู้ยอมชำระดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้แก่ผู้ให้กู้ ผู้กู้เรียกให้คืน เงินดอกเบี้ยได้หรือไม่ และผู้ให้กู้มีสิทธิได้ดอกเบี้ยดงกล่าวหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ ๕๓๗๖/๒๕๖๐ โจทก์และจำเลยนำสืบรับกันว่า โจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละ ๕ ต่อเดือน และโจทก์ยังเบิกความว่า หลังจากทำหนังสือสัญญากู้เงินแล้ว จำเลยชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ เดือนละ ๒,๕๐๐ บาท เป็นเวลา ๓ เดือน รวมเป็นเงิน ๗,๕๐๐ บาท ดอกเบี้ยที่จำเลยชำระไปจึงเกิดจากการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด เป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.๒๔๗๕ มาตรา ๓ ประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๔ ข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยย่อมตกเป็นโมฆะ แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๕) ประกอบด้วยมาตรา ๒๔๖ และมาตรา ๒๔๗ (เดิม)
จำเลยยอมชำระดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้แก่โจทก์ซึ่งตกเป็นโมฆะ ถือได้ว่าเป็นการชำระหนี้ฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๑๑ จำเลยหาอาจจะเรียกร้องให้คืนเงินดอกเบี้ยที่ชำระได้ไม่ โจทก์ในฐานะผู้ให้กู้เป็นฝ่ายเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้จากจำเลย เมื่อข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยตกเป็นโมฆะ และจำเลยไม่อาจเรียกร้องให้คืนเงินดอกเบี้ยที่ชำระฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายได้ โจทก์ก็ย่อมไม่มีสิทธิ์ได้ดอกเบี้ยดงกล่าวด้วย ต้องนำดอกเบี้ยที่จำเลยชำระให้แก่โจทก์ไปหักเงินต้น ตามหนังสือสัญญากู้เงิน
คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๑๓๑/๒๕๖๐ โจทก์คิดดอกเบี้ยจากเงินที่ให้จำเลยกู้ยืมรวมค่าใช้จ่ายร้อยละ ๑.๓ ต่อเดือน หรือ อัตราร้อยละ ๑๕.๖ ต่อปี เป็นการคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.๒๔๗๕ มาตรา ๓ ประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๔ มีผลให้ดอกเบี้ยตกเป็นโมฆะ กรณีถือไม่ได้ว่าจำเลยชำระหนี้โดยจงใจ ฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายหรือเป็นการกระทำอันใดตามอำเภอใจเสมือนหนึ่งว่าเพื่อชำระหนี้ โดยรู้อยู่ว่าตนไม่มีความผูกพันตามกฎหมายที่ต้องชำระอันจะเป็นเหตุให้จำเลยไม่มีสิทธิได้รับทรัพย์นั้นคืน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๐๗ เมื่อดอกเบี้ยของโจทก์ เป็นโมฆะเท่ากับสัญญากู้ยืมมิได้มีการตกลงเรื่องดอกเบี้ยกันไว้ โจทก์ไม่มีสิทธิได้ดอกเบี้ยก่อนผิดนัดและไม่อาจนำเงินที่จำเลยชำระแก่โจทก์มาแล้วไปหักออกจากดอกเบี้ยที่โจทก์ไม่มีสิทธิ์คิดได้ จึงต้องนำเงินที่จำเลยชำระหนี้ไปชำระต้นเงินทั้งหมด
สัญญากู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยไม่มีการกำหนดเวลาชำระหนี้กันไว้ โจทก์ บอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ภายใน ๗ วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้ชำระหนี้ซึ่งจำเลยได้รับหนังสือในวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๗ พ้นกำหนด รยะเวลา ๗ วัน ในวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๗ เมื่อหนี้ที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยชำระเป็นหนี้เงินโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยได้ในระหว่างเวลาผิดนัดอัตรา ร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง นับแต่วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๗ เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ
อ้างอิง ถามตอบ บทบรรณาธิการเนติฯ เล่มที่ 2 สมัยที่ 1/71
วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2561
ฎีกาคำบรรยายเนติ ภาคทบทวน* อาญา ม.1-58,107-208 อ.อำนาจ ครั้งที่ 1 3 มิ.ย 61 สมัยที่71
ฎีกาคำบรรยายเนติ ภาคทบทวน*
อาญา ม.1-58,107-208 อ.อำนาจ ครั้งที่ 1 3 มิ.ย 61 สมัยที่71
-------------------------
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2715/2531 การที่จำเลยเรียกร้องเอาเงินจากผู้เสียหายโดยอ้างว่าจะนำไปให้เจ้าพนักงานเพื่อช่วยเหลือให้
จ.
เข้ารับราชการโดยไม่ต้องสอบคัดเลือกนั้นแม้ผู้เสียหายจะไม่หลงเชื่อคำกล่าวอ้างของจำเลย
และไม่มีเจตนาจะมอบเงินให้แก่จำเลย โดยได้ไปแจ้งความแล้วนำเงินของเจ้าพนักงานตำรวจมาหลอกให้จำเลยรับไว้เป็นหลักฐานในการจับกุมก็ตาม
การกระทำของจำเลยก็ครบองค์ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 แล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 537/2523
เรียกทรัพย์ว่าจะนำไปให้ผู้พิพากษาตัดสินยกฟ้องแม้ผู้เรียกไม่ตั้งใจจะเอาทรัพย์ที่เรียกไปให้เจ้าพนักงานนั้นเลย
ก็เป็นการกระทำที่ครบองค์ความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 661/2554 (อ.เน้น น่าสนใจ) ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยกระทงละ
4 ปี รวม 3 กระทง จำคุก 12 ปี
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่าจำคุกจำเลยกระทงละ 2 ปี รวม 2 กระทง จำคุก 4 ปี
เป็นการแก้ไขเล็กน้อย เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 9
ลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี
จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218
วรรคหนึ่ง
ฎีกาของจำเลยที่ว่าพยานโจทก์ขัดแย้งกันไม่เพียงพอฟังเพื่อลงโทษจำเลยเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค
9 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกา
จำเลยเรียกและรับเงินจากผู้เสียหายทั้งสองเพื่อเป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจเจ้าพนักงานในตำแหน่งพนักงานอัยการ
โดยวิธีอันทุจริตผิดกฎหมาย
เพื่อให้กระทำการในหน้าที่โดยการช่วยเหลือในทางคดีให้สั่งไม่ฟ้องคดีแก่บุคคลที่ถูกดำเนินคดีอาญา
แม้พนักงานอัยการจะมิได้เป็นเจ้าของสำนวนในคดีนั้นและจำเลยยังมิได้ให้เงินก็ตาม
ก็ถือว่าพนักงานอัยการนั้นเป็นเจ้าพนักงานที่จำเลยจะจูงใจให้กระทำการในหน้าที่อันเป็นคุณแก่บุคคลที่จำเลยจะให้ช่วยเหลือแล้ว
การกระทำของจำเลยครบองค์ประกอบแห่งความผิดตาม ป.อ. มาตรา 143 แล้ว และเป็นความผิดต่อรัฐโดยตรง
โจทก์ร่วมทั้งสองจึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมายไม่อาจเข้าร่วมเป็นโจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
4846/2536
การที่จำเลยเรียกและรับเงินไปจาก
ฉ.เป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจเจ้าพนักงานในตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกาโดยวิธีอันทุจริตให้กระทำการในหน้าที่พิพากษาคดีอันเป็นคุณแก่
ฉ.ให้ฉ.ชนะคดีในชั้นศาลฎีกานั้นครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 แล้ว
จำเลยจะได้ไปจูงใจเจ้าพนักงานในตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกาให้กระทำการในหน้าที่ให้เป็นคุณแก่ฉ.หรือไม่
หาใช่องค์ประกอบของความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 143 ไม่
ดังนั้น แม้ศาลชั้นต้นจะได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาไปก่อนที่จำเลยจะได้เรียกและรับเงินจากฉ.จำเลยย่อมไม่สามารถจะจูงใจเจ้าพนักงานในตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกาให้ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นคุณแก่
ฉ.ได้ทันก็ตาม
ก็ไม่ทำให้การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดเพราะขาดองค์ประกอบความผิดไปแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 565/2558 จำเลยทราบดีว่านาง
ล. ตกลงขายที่ดินแก่นาย พ. บุตรเขยจำเลยในราคาเพียง 220,000 บาท แต่มีการปลอมแปลงลายมือชื่อนาง ล.
ในใบเสนอราคาขายที่ดินดังกล่าวเป็นเงิน 594,800 บาท
แล้วนำไปยื่นต่อองค์การบริหารส่วนตำบลตูมใต้ พร้อมกับใบเสนอราคาของเจ้าของที่ดินอีกสองแปลงซึ่งเสนอราคาสูงกว่า
และเมื่อคณะกรรมการจัดซื้อเห็นสมควรซื้อที่ดินของนาง ล. ที่เสนอราคาต่ำสุด
จำเลยในฐานะนายกองค์การบริหารส่วนตำบลตูมใต้
ก็ได้อนุมัติให้จัดซื้อที่ดินดังกล่าวในราคาภายหลังการต่อรองแล้ว 594,000 บาท สูงกว่าราคาที่นาง ล. ต้องการขาย 374,000
บาท และเมื่อหักเงินที่จำเลยต้องนำไปชำระเป็นค่าภาษี 5,940
บาท คงมีส่วนต่างที่เป็นประโยชน์แก่บุตรเขยของจำเลย 368,060
บาท การกระทำของจำเลยจึงเป็นการเอื้อประโยชน์แก่บุตรเขยของจำเลย
อันถือได้ว่าเป็นการแสวงประโยชน์โดยมิชอบ เป็นเหตุให้องค์การบริหารส่วนตำบลตูมใต้
ได้รับความเสียหายต้องซื้อที่ดินในราคาสูงเกินกว่าที่ควรจะเป็น
จำเลยจึงมีความผิดฐานเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อทรัพย์
ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รัฐ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7188/2538
การที่จะแต่งตั้งเสมียนตราอำเภอให้เป็นสมุห์บัญชีสุขาภิบาลนั้น
จะต้องทำเป็นเรื่องเสนอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้ง
นายอำเภอแม้จะเป็นประธานกรรมการสุขาภิบาลอยู่ด้วยก็ไม่มีอำนาจหน้าที่ที่จะแต่งตั้งเสมียนตราอำเภอให้เป็นสมุห์บัญชีสุขาภิบาลได้ด้วยตนเอง
ดังนั้นการที่นายอำเภอสั่งให้จำเลยไปปฏิบัติหน้าที่สมุห์บัญชีสุขาภิบาล
จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ
จำเลยไม่มีฐานะเป็นพนักงานของสุขาภิบาลและไม่เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย
จึงไม่อาจลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 และ 157
ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5964/2537
ทรัพย์ที่เจ้าพนักงานเบียดบังเอาไว้เป็นของตนหรือของผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 147
ต้องเป็นทรัพย์ที่เจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษา
แต่เมื่อเงินที่จำเลยยักยอกเอาไปใช้ส่วนตัวเป็นเงินค่าบำรุงที่เจ้าภาพงานศพมาใช้ฌาปนสถานมอบให้แก่จำเลยเพื่อเก็บส่งเป็นสวัสดิการต่อกรมตำรวจ
หาใช่เงินของทางราชการหรือของรัฐบาลที่จำเลยผู้เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ
จัดการหรือรักษาแต่อย่างใดไม่ จึงลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 ไม่ได้ แต่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความกันได้
เมื่อผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์ภายในสามเดือนนับแต่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดคดีจึงขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1272/2506 จำเลยเป็นเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอมีหน้าที่รับเรื่องราวจดทะเบียน
ทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินของราษฎร
ได้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินจากผู้ขายเกินกว่าจำนวนที่กฎหมายกำหนดและยึดเอาส่วนเกินไว้เงินส่วนเกินไม่ใช่เป็นเงินของทางราชการหรือของรัฐบาล
จึงไม่ใช่ทรัพย์ตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา147
ฉะนั้น
การที่จำเลยเรียกเก็บค่าธรรมเนียม(แม้จะเกินกว่ากฎหมายกำหนด)ก็ดี
การทำนิติกรรมการซื้อขายที่ดินก็ดี จึงไม่ใช่เป็นการกระทำหรือเบียดบังต่อทรัพย์
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 153/2545 การทางพิเศษแห่งประเทศไทยมีการตรวจสอบการปฏิบัติงานของพนักงานเก็บเงินทุกคน
โดยให้พนักงานเก็บเงินกดแป้นพิมพ์เครื่องคอมพิวเตอร์ตามประเภทของรถที่ผ่านและประเภทของการจ่ายเงิน
หากไม่กดจะไม่มีจำนวนเงินปรากฏในเครื่องคอมพิวเตอร์แต่เครื่องตรวจจับที่พื้นถนนจะเป็นตัวฟ้องว่ามีรถผ่านโดยมีเสียงสัญญาณดังขึ้น
และพนักงานควบคุมจะทราบเพราะเครื่องทำงานไม่ครบวงจร ดังนั้น
การที่จำเลยรับเงินจากรถที่วิ่งผ่านทางด่วนแล้วไม่กดแป้นพิมพ์เครื่องคอมพิวเตอร์
หรือกดแป้นพิมพ์แล้วเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่ทำงานตามที่จำเลยกล่าวอ้าง
เครื่องตรวจจับที่พื้นถนนจะตรวจนับจำนวนรถที่วิ่งผ่านเอง
แต่เมื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาเปรียบเทียบกันแล้วปรากฏว่าจำเลยส่งเงินขาดจำนวน8
ครั้ง เป็นเงิน 153,700 บาท แม้ว่าจะไม่มีพยานบุคคลมายืนยันว่าจำเลยเบียดบังเงินค่าผ่านทาง
แต่เมื่อจำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่รักษาเงินโดยชอบแม้จะเป็นระยะเวลาอันสั้น
รวมทั้งเป็นผู้รับเงินและรวบรวมนำส่งต่อไปอันถือว่าเป็นการจัดการทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 147 ได้รับเงินค่าผ่านทางมาแล้วและไม่ส่งเงินให้ครบ
จึงถือว่าเป็นการเบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนโดยทุจริตแล้ว
ที่จำเลยอ้างว่าจำนวนเงินตามใบส่งตรงกับต้นขั้วใบเสร็จรับเงินอันเป็นสิ่งแสดงว่าจำเลยมิได้ทุจริตนั้นก็เป็นเรื่องที่จำเลยได้รับใบเสร็จรับเงินมาเพื่อจ่ายให้แก่รถที่ใช้ทางด่วนทุกคัน
หากผู้ใช้ทางด่วนไม่ต้องการใบเสร็จรับเงิน จำเลยต้องฉีกใบเสร็จรับเงินนั้นด้วย
แต่ในกรณีของจำเลยปรากฏว่าจำนวนรถที่วิ่งผ่านมาปริมาณมากกว่าจำนวนใบเสร็จรับเงินที่จำเลยฉีกแสดงว่าจำเลยรับเงินมามากกว่าจำนวนใบเสร็จรับเงินที่จำเลยฉีกออกไป
ฉะนั้น แม้จำนวนเงินที่จำเลยส่งจะตรงกับจำนวนใบเสร็จรับเงินก็มิได้เป็นการยืนยันว่าจำเลยไม่ได้ทุจริตแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2823/2541
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสารกรอกข้อความลงในเอกสาร
ดูแลรักษาเอกสารเกี่ยวกับการเงินและบัญชี
ควบคุมดูแลเงินและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเงินทุกประเภทของโรงเรียน พ.
จำเลยได้กรอกข้อความและลงลายมือชื่อของข้าราชการหลายคนในสัญญารับรองการยืมเงินว่า
บุคคลเหล่านั้นยืมเงินค่าวัสดุอุปกรณ์และค่าใช้จ่ายในกิจการของโรงเรียนอันเป็นความเท็จ
และปลอมลายมือชื่อของผู้อำนวยการ โรงเรียนกับพวกเป็นผู้อนุมัติให้ยืมเงิน
อีกทั้งปลอมสัญญารับรองการยืมเงินของบุคคลดังกล่าวโดยเพิ่มเติมข้อความหรือแก้ไขตัวเลขให้สูงขึ้น
แล้วเบียดบังเงินส่วนนั้นไปเป็นของตนโดยทุจริต
จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 161 และ 147
แต่การที่จำเลยปลอมและใช้เอกสารปลอมก็โดยมีเจตนาที่จะใช้เป็นหลักฐานในการเบียดบังเงินเป็นของตนการที่จำเลยเบียดบังเงินแต่ละครั้งจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
ต้องลงโทษตามมาตรา 147อันเป็นบทหนักที่สุดตามมาตรา 90 จำเลยกระทำความผิดรวม 36
กระทง เท่านั้นแต่การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าการกระทำ
ของจำเลยในความผิดตามมาตรา 147 และมาตรา 161
เป็นความผิดหลายกรรมและพิพากษาลงโทษจำเลย ตามมาตรา 147 รวม 36 กระทงกับมาตรา 161
รวม 36 กระทงนั้นไม่ถูกต้อง เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองและแก้ไขให้ถูกต้องได้
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 225
..........
หมายเหตุ อยู่ระหว่างถอดเทป สรุปย่อคำบรรยายเล่มที่ 1-16
พร้อมเน้นประเด็น เนติฯ แพ่ง-อาญา ครบทุกคาบ ทันก่อนสอบ* สมัยที่ 71
วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2561
ถอดไฟล์เสียงเนติฯ กฎหมายครอบครัว (ภาคปกติ) อ.ประสพสุขฯ สมัยที่ 71 วันที่ 22 พ.ค 61 ครั้งที่ 1
อ.ประสพสุขฯ สมัยที่ 71 วันที่ 22 พ.ค 61 ครั้งที่ 1
---------------------------------------------------------------------
สกัดหลักกฎหมาย สรุป เจาะประเด็น ฎีกา 5 ดาว เตรียมสอบเนติบัณฑิต ภาค 1 สมัยที่ 71
ข้อ 8. วิชา กฎหมายครอบครัว-มรดก (ภาคปกติ) อ.ประสพสุข บุญเดช ครั้งที่1
วัน อังคาร ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 สัปดาห์ที่1
---------------------------------------------------------------------
(จับประเด็น เน้นมาตรา ฎีกาเด่น จากการบรรยาย* (Key words Law) วลีกฎหมายที่ควรจำ)
---------------------------------------------------------------------
สกัดหลักกฎหมาย สรุป เจาะประเด็น ฎีกา 5 ดาว เตรียมสอบเนติบัณฑิต ภาค 1 สมัยที่ 71
ข้อ 8. วิชา กฎหมายครอบครัว-มรดก (ภาคปกติ) อ.ประสพสุข บุญเดช ครั้งที่1
วัน อังคาร ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 สัปดาห์ที่1
---------------------------------------------------------------------
(จับประเด็น เน้นมาตรา ฎีกาเด่น จากการบรรยาย* (Key words Law) วลีกฎหมายที่ควรจำ)
รายละเอียดพอสังเขป :-
- ถอดคำบรรยายฯ ภาคปกติ ครบทุกคาบ ทุกวิชา พร้อมเก็งก่อนสอบ ท่องพร้อมสอบ รายข้อ*
- สำหรับทบทวนคำบรรยายอ่านกระชับ เน้นประเด็น Update! จากห้องบรรยายเนติบัณฑิต
- สกัดหลักกฎหมาย-เจาะประเด็นคำบรรยาย จำแนกออกเป็นเรื่อง/กลุ่ม เพื่อง่ายต่อการสืบค้น ท่องจำ*
- เจาะประเด็นสำคัญ อาจารย์เน้นย้ำ ตัวอย่างข้อสอบ พร้อมออกสอบ*
- แนะนำ ติดตามคำบรรยายฯ อ.ประสพสุข บุญเดช ได้รับการคัดเลือกในการออกข้อสอบ**
ทยอยอัพเดท ... ครบทุกคาบ ทันก่อนสอบ พร้อมเน้นประเด็น เก็ง รายข้อ +เก็บตกก่อนสอบ
(ถอดเทป เจาะฎีกา ภาคค่ำ เป็นส่วนเสริม หาก อาจารย์เน้นพิเศษ หรือมีฎีกาติดดาว)
(ถอดเทป เจาะฎีกา ภาคค่ำ เป็นส่วนเสริม หาก อาจารย์เน้นพิเศษ หรือมีฎีกาติดดาว)
วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2561
ฎีกาถอดเทปแพ่ง เนติ 1/71 วิชา มรดก (อ.กีรติ กาญจนรินทร์) ภาคปกติ 21 พ.ค 61 ครั้งที่1
ฎีกาถอดเทป เนติ 1/71 วิชา มรดก (อ.กีรติ กาญจนรินทร์) ภาคปกติ 21 พ.ค 61 ครั้งที่1
อยู่ระหว่างถอดเทปพร้อมเน้นประเด็น เนติฯ แพ่ง-อาญา ครบทุกคาบ ทันก่อนสอบ* สมัยที่ 71
เก็งพร้อมสอบ อัพเดท ที่ www.LawSiam.com
*****************
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 754/2541 เมื่อทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกที่พิพาทยังอยู่ระหว่างทายาทครอบครองร่วมกันและยังมิได้มีการแบ่งปันกัน แม้จำเลยจะครอบครองทรัพย์มรดกก็เป็นการครอบครองทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกที่ยังมิได้แบ่งปันกัน เป็นการครอบครองแทนทายาทอื่นซึ่งรวมถึงโจทก์ด้วย แม้โจทก์จะฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนด1 ปี นับแต่เมื่อเจ้ามรดกตายหรือนับแต่เมื่อโจทก์รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก คดีของโจทก์ก็ไม่ขาดอายุความ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1754 และเมื่อพ.ร.บ.ว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลาและสตูล พ.ศ.2489 มาตรา 3 กำหนดให้การวินิจฉัยชี้ขาดเรื่องอายุความมรดกไม่อยู่ในบังคับต้องใช้กฎหมายอิสลาม กรณีจึงต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3849/2541 บทบัญญัติมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูลพ.ศ. 2489 นั้น หมายความว่าคดีแพ่งที่เกี่ยวด้วยเรื่องครอบครัวและมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยครอบครัวและมรดกของผู้นับถือศาสนาอิสลามอันเกิดขึ้นในศาล ของสี่จังหวัดดังกล่าว ให้ศาลใช้กฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัวและมรดกบังคับแทน ดังนั้น กรณีที่จะเป็นคดีต้องด้วยพระราชบัญญัติดังกล่าวจึงต้องเป็นคดีมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เสียก่อน คดีนี้เป็นเรื่องเจ้ามรดกยกที่ดินอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ให้เป็นสิทธิแก่จำเลยและจำเลยร่วมตั้งแต่เจ้ามรดกยังไม่ถึงแก่ความตาย การยกที่ดินพิพาทให้ดังกล่าวแม้จะทำตามหลักกฎหมายอิสลาม ที่เรียกว่าพิธีแฮร์เบอะ โดยทำพิธีอย่างถูกต้องที่บ้านโต๊ะอิหม่ามก็ตาม กรณีก็ไม่ใช่เรื่องมรดกเพราะเป็นเรื่องให้ระหว่างมีชีวิตอยู่ บทกฎหมายในเรื่องนี้จึงต้องใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บังคับแก่คดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 90/2483 ผู้ตายและผู้รับมฤดกต่างนั้นถือศาสนาอิสสลามและอยู่ในบริเวณ 7 หัวเมืองนั้นต้องแย่งมฤดกตามกฎหมายอิสสลาม ไม่ว่าทรัพย์จะอยู่นอกจังหวัดนั้นหรือไม่ สารตราที่ออกโดยพระบรมราชกิจจานุเบกษาก็ต้องถือว่ามีผลใช้บังคับได้ดุจ กฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1740/2505 การวินิจฉัยคดีแพ่งเกี่ยวด้วยเรื่องมรดกอิสลามศาสนิกในศาลจังหวัดปัตตานีซึ่งศาลชั้นต้นต้องใช้กฎหมายอิสลามและต้องให้ดะโต๊ะยุติธรรมวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายอิสลามนั้น หากศาลชั้นต้นปฏิบัติไม่ถูกต้อง ศาลสูงก็มีอำนาจยกคำพิพากษาให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาเสียให้ถูกต้องแล้วพิพากษาใหม่ได้
ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยข้อกฎหมายอิสลามได้ เพราะถ้ามีคำวินิจฉัยชี้ขาดของดะโต๊ะยุติธรรมในข้อกฎหมายอิสลามมาโดยถูกต้องแล้ว ย่อมเป็นอันเด็ดขาดในคดีนั้น
..........
หมายเหตุ ทยอยอัพเดท ..ถอดเทป+เน้นประเด็น เนติฯ แพ่ง-อาญา ครบทุกคาบ ทันก่อนสอบ*
เก็งพร้อมสอบ สมัยที่ 71 อัพเดท ที่ www.LawSiam.com
วันเสาร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2561
คำถาม-ธงคำตอบ เนติบัณฑิต (PDF) วิอาญา ข้อ1-10 สมัยที่ 70
คำถาม-ธงคำตอบ เนติบัณฑิต วิอาญา รายข้อ (ข้อ1) ภาค2 สมัยที่ 70
.
คำถาม-ธงคำตอบ เนติบัณฑิต วิอาญา รายข้อ (ข้อ2) ภาค2 สมัยที่ 70
.
คำถาม-ธงคำตอบ เนติบัณฑิต วิอาญา รายข้อ (ข้อ3) ภาค2 สมัยที่ 70
.
คำถาม-ธงคำตอบ เนติบัณฑิต วิอาญา รายข้อ (ข้อ4) ภาค2 สมัยที่ 70
.
คำถาม-ธงคำตอบ เนติบัณฑิต วิอาญา รายข้อ (ข้อ5) ภาค2 สมัยที่ 70
.
คำถาม-ธงคำตอบ เนติบัณฑิต วิอาญา รายข้อ (ข้อ6) ภาค2 สมัยที่ 70
.
คำถาม-ธงคำตอบ เนติบัณฑิต วิอาญา รายข้อ (ข้อ7) ภาค2 สมัยที่ 70
.
คำถาม-ธงคำตอบ เนติบัณฑิต วิอาญา รายข้อ (ข้อ8) ภาค2 สมัยที่ 70
.
คำถาม-ธงคำตอบ เนติบัณฑิต วิอาญา รายข้อ (ข้อ9) ภาค2 สมัยที่ 70
.
คำถาม-ธงคำตอบ เนติบัณฑิต วิอาญา รายข้อ (ข้อ10) ภาค2 สมัยที่ 70
วันเสาร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2561
ถ้าทรัพย์ที่พิพาทเป็นคนละสิ่งกันไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ
รวมคำบรรยายเนติบัณฑิต เล่มที่ ๘ ครั้งที่ ๖ อ.อำนาจ พวงชมพู สมัยที่ 70
ถ้าทรัพย์ที่พิพาทเป็นคนละสิ่งกันไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ
คำพิพากษาฎีกาที่
๕๒๑๕/๒๕๕๔ คดีก่อนจำเลยที่ ๑ ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยที่ ๑ อ้างว่าจำเลยที่ ๑
เป็นเจ้าของสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินและเรียกค่าเสียหายจากโจทก์
ที่กระทำละเมิดต่อจำเลยที่ ๑ คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินขอบังคับให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินและเรียกค่าเสียหายที่จำเลย
ทั้งสองกระทำละเมิดต่อโจทก์ ทรัพย์ที่อ้างเพี่อเรียกร้องสิทธิแห่งตนเป็นทรัพย์คนละอย่างต่างกันเพราะคดีก่อนโต้เถียงกันว่าฝ่ายใดเป็นเจ้าของสิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน
และเรียกค่าเสียหายจากการรบกวนการครอบครองสิ่งปลูกสร้าง ส่วนคดีนี้โจทก์รับว่า
สิ่งปลูกสร้างเป็นของจำเลยทั้งสอง แต่ที่ดินเป็นของโจทก์ขอให้รื้อถอนออกไปและเรียกค่าเสียหายที่ยังคงอยู่บนที่ดิน
คดีทั้งสองมีประเด็นข้อพิพาทไม่เหมือนกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นการฟ้องซ้อนหรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ
วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2561
เก็งเนติฯ กฏหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค3 ภาค2 สมัยที่70
เก็งเนติฯ วิแพ่ง ภาค3 ภาค2 สมัยที่70
----------------------------
กรณีที่จำเลยแถลงไม่ติดใจที่จะยกเป็นข้อต่อสู้หรือสละข้อต่อสู้นั้นแล้ว
จำเลยไม่มีสิทธิที่จะยกขึ้นในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกาอีก
คำพิพากษาฎีกาที่ ๔๒๐๖/๒๕๔๐ จำเลยยกปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องว่า
ผู้รับมอบอำนาจไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะเป็นการมอบอำนาจทั่วไป ซึ่งเป็นปัญหาอันเกี่ยว
ด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การแล้ว แต่ต่อมาได้แถลงไม่
ติดใจที่จะต่อสู้ต่อไป ประเด็นข้อพิพาทเรื่องอำนาจฟ้องจึงยุติไปตามคำแถลงของจำเลย
จำเลยไม่มีสิทธิยกขึ้นฎีกาตามมาตรา ๒๔๙ วรรคสอง เพราะตามมาตราดังกล่าวจะต้องเป็นกรณีที่จำเลยมิได้ยกปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นต่อสู้ในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์
และเมื่อประเด็นข้อพิพาทเรื่องอำนาจฟ้องยุติไปตามคำแถลงของจำเลย จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตามมาตรา
๒๔๙ วรรคแรก
คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๐๒๒/๒๕๕๒ จำเลยทั้งสามได้ให้การต่อสู้เรื่องอำนาจฟ้อง
โดยโต้เถียงความถูกต้องของหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีของโจทก์ไว้ แม้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
แต่ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสามได้แถลงขอสละประเด็นข้อต่อสู้เรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์แล้ว
และจำเลยทั้งสามมิได้สืบพยานอีกด้วย
คดีในศาลชั้นต้นจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทในเรื่องอำนาจฟ้องตามคำให้การของจำเลยทั้งสามโดยจำเลยทั้งสามไม่ติดใจโต้เถียงเกี่ยวกับหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวอีกต่อไป
การที่จำเลยทั้งสามยังคงอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นว่าหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้อง
คดีของโจทก์ไม่ถูกต้องอีก จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น
แม้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบ และต้องฟังว่าโจทก์มอบอำนาจฟ้องถูกต้องตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
(นอกจากนี้ขอให้ดู คำพิพากษาฎีกาที่ ๕๓๕๓/๒๕๕๒ เป็นกรณีที่อ้างว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
เพราะไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลย จำเลยลงชื่อเพียงให้ความยินยอม)
คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๐๕๔/๒๕๕๐
ผู้รับรองตาม ป.พ.พ. มาตรา ๙๒๗ ต้องผูกพันในอันจะจ่ายเงินจำนวนที่รับรองตามเนื้อความแห่งคำรับรองของตนตามมาตรา
๙๓๗ ธนาคาร น. ย่อมอยู่ในฐานะลูกหนี้ชั้นต้นอย่างเดียวกับจำเลยที่ ๑
ซึ่งเป็นผู้สั่งจ่าย ตั๋วแลกเงิน จำเลยที่ ๑
ไม่ได้อยู่ในฐานะที่มีความผูกพันอยู่แล้วก่อนธนาคาร น. ตาม มาตรา ๙๖๗ วรรคสาม
ดังนั้น เมื่อธนาคาร น. ได้จ่ายเงินให้บริษัท ต. ซึ่งเป็นผู้รับเงินไปแล้ว ธนาคาร
น. จึงหามีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยที่ ๑ ผู้สั่งจ่ายได้ไม่ เมื่อไม่มีสิทธิไล่เบี้ยแล้วก็ย่อมไม่มีสิทธิเรียกร้องที่จะโอนให้แก่โจทก์
โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
แม้ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองจะสละประเด็นพิพาทข้อนี้ไปแล้ว
แต่จำเลยทั้งสองก็มีสิทธิยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๒๕
วรรคสอง
***คำพิพากษาฎีกาที่
๑๒๐๖/๒๕๔๐ และที่ ๑๐๒๒/๒๕๕๒ แตกต่างจาก คำพิพากษาฎีกาที่
๖๐๕๔/๒๕๕๐ ที่ว่า คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๒๐๖/๒๕๔๐ และ ที่
๑๐๒๒/๒๕๕๐ เป็นเรื่องอำนาจฟ้องตามกฎหมายวิธีสบัญญัติเมื่อสละแล้วก็ยุติ
แต่คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๐๕๔/๒๕๕๐
เป็นเรื่องอำนาจฟ้องตามกฎหมายสาระบัญญัติ คือ โจทก์ไม่มีสิทธิตามกฎหมายที่จะเรียกร้องเอาจากจำเลยได้
แม้จำเลยจะเคยสละประเด็นพิพาทข้อนี้ไปแล้ว
ก็ยกขึ้นอุทธรณ์ได้ (แม้สละศาลก็หยิบยกได้)
คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๒๕๙๕/๒๕๕๖ ปัญหาอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบ
แม้จำเลยจะแถลงต่อศาลชั้นต้นว่าขอสละประเด็นดังกล่าว ไม่ติดใจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้
เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควร ย่อมมีอำนาจยกขึ้นได้
อ้างอิง รวมคำบรรยายเนติฯ วิชา กฏหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค3 (ศอ.อรรถนิติ ดิษฐอำนาจ) เล่มที่8 การบรรยายครั้งที่7 ภาค2 สมัยที่70 .
เก็งกฏหมายล้มละลาย เนติบัณฑิต ภาค2 สมัยที่ 70 ชุดที่ 1
เก็งข้อ 8. กฏหมายล้มละลาย เนติบัณฑิต ภาค2 สมัยที่ 70
*******************
กรณีลูกหนี้ไม่ได้ขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายหรือการขอประนอม
หนี้ก่อนล้มละลายไม่เป็นผลสำเร็จ
มาตรา ๖๑
เมื่อศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว และ
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานว่า เจ้าหนี้ได้ลงมติในการประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรก
หรือในคราวที่ได้เลื่อนไป ขอให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายก็ดี หรือไม่ลงมติ
ประการใดก็ดี หรือไม่มีเจ้าหนี้ไปประชุมก็ดี หรือการประนอมหนี้ไม่ได้รับความเห็น
ชอบก็ดี ให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจจัดการทรัพย์สินของบุคคลล้มละลายเพื่อแบ่งแก่เจ้าหนี้ทั้งหลาย
ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โฆษณาคำพิพากษาในราชกิจจานุเบกษาและในหนังสือพิมพ์รายวันไม่น้อยกว่าหนึ่งฉบับ
ในคำโฆษณาให้ระบุชื่อ ตำบลที่อยู่ อาชีพของลูกหนี้ และวันที่ศาลได้มีคำพิพากษา
สรุป มาตรา ๖๑ เป็นบทบัญญัติให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายอันเนื่องมาจากลูกหนี้ไม่ได้ขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลาย
หรือลูกหนี้ขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลาย แต่ที่ประชุมเจ้าหนี้ไม่ยอมรับจึงมีมติในการประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกขอให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย
หรือที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติพิเศษยอมรับคำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายแล้ว
แต่ศาลไม่เห็นชอบด้วย
มาตรา ๖๑
เป็นบทบังคับให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายทันที เมื่อได้
ดำเนินคดีตามขั้นตอนของมาตราดังกล่าวครบถ้วน
คำพิพากษาฎีกาที่ ๙๘๐/๒๕๓๑ พระราชบัญญัติล้มละลายฯ
มาตรา ๖๑ เป็นบทบังคับให้ศาลพิพากษาให้จำเลยล้มละลายทันที
เมื่อได้ดำเนินคดีตามขั้นตอนของมาตราดังกล่าวครบถ้วนแล้ว
ส่วนปัญหาที่จำเลยฎีกาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด และคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาไม่กระทบกระเทือนถึงการที่ศาลชั้นต้นจะดำเนินคดีล้มละลายต่อไปตามขั้นตอน
เพราะคดีล้มละลายต้องกระทำโดยเร่งด่วนตามมาตรา ๑๓
หากต่อมาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเปลี่ยนแปลงไป คำพิพากษาให้จำเลยล้มละลาย
ก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย เพราะการล้มละลายเริ่มต้นมีผลตั้งแต่วันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ตามมาตรา
๖๒
คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๖๗/๒๕๓๒
พระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา ๖๑ เป็นบทบังคับให้ศาลพิพากษาให้จำเลยล้มละลายทันที
เมื่อได้ดำเนินคดีมาตามชั้นตอนของมาตรานี้ครบถ้วนแล้ว การที่จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่และศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอของจำเลย
แม้จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง และคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยแล้ว คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดย่อมมีผลบังคับได้ต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา ๑๔๕ ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา ๑๕๓
จึงไม่กระทบกระเทือนในการที่ศาลชั้นต้นจะดำเนินคดีล้มละลายต่อไปตามขั้นตอน
เนื่องจากคดีล้มละลายจะต้องกระทำโดยเร่งด่วนตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา ๑๓
และ ๑๕๓
คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๕๘๒/๒๕๓๖*** การดำเนินกระบวนพิจารณาคดีล้มละลาย
กฎหมายกำหนดให้ต้องดำเนินเป็นการด่วนตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓
มาตรา ๑๓ และ ๑๕๓ เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานศาลว่าเจ้าหนี้ได้ลงมติในการประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยล้มละลาย
ศาลก็ต้องพิพากษาให้จำเลยล้มละลายตามมาตรา ๖๑ ทันทีแม้คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดจะยังไม่ถึงที่สุดก็ตาม
คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๓๕๐/๒๕๔๖ พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓
มาตรา ๖๑ บังคับให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายทันทีเมื่อได้ดำเนินคดีมาตามขั้นตอนของมาตรานี้ครบถ้วนแล้ว
ศาลจะงดพิพากษาหรือรอการพิพากษาหรือพิพากษาเป็นอย่างอื่นไม่ได้
และกฎหมายมีเจตนารมณ์ให้ขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายได้ เพียงครั้งเดียว หากจำเลยจะขอประนอมหนี้อีกก็ชอบที่จะเสนอคำขอได้ในตอนหลังเมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยล้มละลายแล้วตามมาตรา
๖๓ การที่จำเลยยื่นคำขอประนอมหนี
ก่อนล้มละลายเข้ามาอีก จึงเป็นการไม่ชอบ
อ้างอิง รวมคำบรรยายเนติฯ วิชา กฏหมายล้มละลาย(อ.ชีพ จุลมนต์) เล่มที่8 การบรรยายครั้งที่6 ภาค2 สมัยที่70
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)